คิดว่าจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้วแต่ไม่มีเวลา คือมันเป็นเรื่องของปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ ที่เจอในภาพยนต์เรื่อง “อาบรักทะลุมิติ” เห็นว่ามันน่าสนใจดี โดยเนื้อเรื่องในภาพยนต์จะประมาณว่า พระเอกซึ่งเป็นบัณฑิตกำลังจะไปสอบที่เมืองหลวง โดยเดินทางไปพร้อมผู้ติดตาม แล้วได้พบกับโจรระหว่างทาง จากนั้นก็วิ่งไล่กวดกันเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง ในวัดนั้นก็มีภาพวาดซึ่งเป็นประตูทะลุไปสู่โลกคู่ขนานได้ ซึ่งทำให้ทั้งพระเอก ผู้ติดตาม และโจร ต่างพากันพลัดหลงเข้าไปในโลกคู่ขนานดังกล่าว ซึ่งเป็นโลกที่มีแต่ผู้หญิงสวยเช้งเต็มไปหมด หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราวผจญภัยกันมากมาย และสุดท้ายพระเอกตัดสินใจกลับโลกจริงเพียงลำพัง โดยทิ้งให้ผู้ติดตามและโจรอยู่ในโลกคู่ขนาน แต่เมื่อกลับมายังโลกจริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าผู้ติดตามและโจรก็ยังคงอยู่ในโลกจริงเช่นเดิม โดยมีเพียงพระเอกเท่านั้นที่จดจำเรื่องราวการผจญภัยในโลกคู่ขนานได้ ในขณะที่ผู้ติดตามและโจรไม่รู้เรื่องราวการผจญภัยในโลกคู่ขนานด้วยเลย
ทีนี้ผมเลยคิดว่าปรากฎการณ์แบบนี้มันน่าสนใจ น่าจะอธิบายได้ด้วยทฤษฎีกราฟในทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยย่อ ๆ ก็คือทฤษฎีกราฟเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ โดยการเชื่อมโยงกันระหว่างวัตถุ (vertex) ด้วยเส้นเชื่อม (edge) ซึ่ง edge เป็นได้ทั้งแบบมีทิศทางและไม่มีทิศทาง และเป็นได้ทั้งมีค่าน้ำหนักหรือไม่มีค่าน้ำหนัก
โดยสมมติฐานส่วนตัวของผมคิดว่า เราสามารถใช้ทฤษฎีกราฟเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ในภาพยนต์เรื่อง “อาบรักทะลุมิติ” ได้ โดยการเขียนเป็นกราฟแบบภาพข้างล่างนี้
ผมมีความเชืื่อส่วนตัวว่าในเรื่อง “อาบรักทะลุมิติ” กายหยาบของพระเอก ผู้ติดตาม และโจร ไม่ได้ไปที่โลกคู่ขนาน หากแต่มีเพียง “จิตรับรู้” เท่านั้นที่กระโดดไปยังโลกคู่ขนาน ทีนี้พอพระเอกซึ่งอยู่ใน vertex T5 ของโลกคู่ขนานตัดสินใจว่าจะกลับโลกจริง จึงเกิด edge แบบมีทิศทางเชื่อมจาก vertex T5 ของโลกคู่ขนานไปยัง vertex T1 ของโลกจริง ซึ่งทำให้กายหยาบของพระเอกในโลกจริงเกิดการรับรู้เรื่องราวจากโลกคู่ขนาน และดำเนินชีวิตนับจาก vertex T1 ในโลกจริงต่อไป
ส่วนจิตรับรู้ของผู้ติดตามและโจร ไม่ได้กลับจาก vertex T5 ของโลกคู่ขนานไปยัง vertex T1 ของโลกจริง จึงทำให้กายหยาบของผู้ติดตามและโจร ณ vertex T1 ในโลกจริงไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากโลกคู่ขนานเลย และยังคงดำเนินชีวิตนับจาก vertex T1 ในโลกจริงต่อไป ในขณะที่จิตรับรู้ซึ่งแบ่งไปอยู่ในโลกคู่ขนาน ก็ยังคงดำเนินชีวิตนับจาก vertex T5 ในโลกคู่ขนานต่อไปเช่นกัน
ทีนี้ผมเลยคิดว่าน่าจะสามารสร้างโมเดลเพื่ออธิบายโลกคู่ขนานได้ โดยผมตั้งสมมติฐานว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมีโอกาสแบ่งจิตรับรู้ของตัวเอง แล้วปล่อยจิตรับรู้ที่แบ่งออกมาไปยังโลกคู่ขนานได้ เพียงแต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จิตรับรู้ที่แบ่งออกไปจะกลับจากโลกคู่ขนานมายังโลกจริง เพื่อจะทำให้กายหยาบในโลกจริงเกิดการรับรู้เรื่องราวในโลกคู่ขนาน ซึ่งจริง ๆ แล้วปรากฎการณ์แบบนี้เกิดได้เยอะแยะ มีคนเล่าเยอะ เช่น บอกว่ารู้สึกเหมือนเดจาวู หรือ รู้สึกว่ายืนเดินอยู่ดี ๆ ก็วูบไปยังอีกที่หนึ่ง จากนั้นก็วูบกลับมาที่เดิม เป็นต้น
จากภาพโมเดลโลกคู่ขนาน ผมตั้งข้อสังเกตจากสมมติฐานที่ผมตั้งขึ้นเองได้ 4 อย่างคือ
- เป็นไปได้ที่มนุษย์เราจะแบ่งจิตและปล่อยจิตไปยังโลกคู่ขนานได้แทบจะตลอดเวลา ซึ่งแทนได้ด้วย edge แบบมีทิศทางและมีค่าน้ำหนัก Wa0 ขนาด 100%
- เป็นไปได้ที่จิตที่ปล่อยออกไปยังโลกคู่ขนาน จะกลับมาบางส่วนในโลกจริง เพื่อทำให้กายหยาบในโลกจริงรับรู้เรื่องราวในโลกคู่ขนานได้บางส่วน โดยที่จิตในโลกคู่ขนานจะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งแทนได้ด้วย edge แบบมีทิศทางและมีค่าน้ำหนัก Wb0 ขนาดไม่เกิน 50%
- เป็นไปได้ที่จิตที่ปล่อยออกไปยังโลกคู่ขนาน จะกลับมาเต็มจำนวนในโลกจริง เพื่อทำให้กายหยาบในโลกจริงรับรู้เรื่องราวในโลกคู่ขนาน และไม่มีจิตหลงเหลือในโลกคู่ขนานอีกต่อไป ซึ่งแทนได้ด้วย edge แบบมีทิศทางและมีค่าน้ำหนัก Wb0 ขนาด 100%
- เป็นไปได้ที่จิตที่ปล่อยออกไปยังโลกคู่ขนาน จะไม่กลับมายังโลกจริงอีกเลย และยังคงดำเนินต่อไปในโลกคู่ขนาน โดยที่กายหยาบในโลกจริงไม่ได้รับรู้แต่ประการใด ซึ่งแทนได้ด้วย vertex T5 ถึง T10 ในโลกคู่ขนาน
ผมคิดว่าเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ จะมาอธิบายอะไรที่มันเป็นวิทยาศาสตร์คงยาก แต่ถ้าจะให้ตั้งสมมติฐานก็คงจะได้ประมาณนี้แหล่ะครับ
คำว่าจิต ไม่มีอยู่ในหลักวิทยาศาสตร์ครับ
การ รับรู้/รู้สึก หรือฝัน มาจากเซลสมอง