จักระแห่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์

ผมเคยอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มนึงครับ หนังสือการ์ตูนเล่มดังกล่าวชื่อว่า “นินจานารูโตะ” เป็นเรื่องราวของนินจาในหมู่บ้านนินจา แนวของหนังสือเป็นแนวต่อสู้, ใช้คาถา และมีเรื่องของปีศาจในนิยายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ผมชอบอยู่จุดหนึ่งครับ เรื่องของการใช้คาถานินจา โดยในเรื่องบอกว่ามนุษย์เรามีพลังกายอยู่สองแบบ คือ กำลังภายนอก กับ จักระ โดยต้นกำเนิดของพลังก็อยู่ภายในร่างกายเรานั่นแหล่ะ เพียงแต่จะรีดเร้นออกมายังไงก็เท่านั้นเอง

จักระเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากอินเดียครับ เป็นคำในภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า “กำลังภายใน”!!!

เรื่องนินจามันเลยไปสอดคล้องกับวรยุทธ์ของจอมยุทธ์จีน ในเรื่องที่ว่ามนุษย์เรานั้น ถ้าเป็นการส่งแรงหรือกำลังออกจากร่างกายแล้ว สามารถส่งออกได้สองแบบ โดยผ่าน “กำลังภายนอก” และ “กำลังภายใน” นั่นเอง

ผมเห็นในการ์ตูนเขามีรูปภาพอธิบายวิธีการรีดเร้นกำลังภายนอกและจักระด้วย ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก เลยขอใช้รูปดังกล่าวมาประยุกต์กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ซักหน่อย หวังว่าแฟนคลับของการ์ตูนนารูโตะคงไม่ว่าผมนะ 😛

สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ในเมื่อพลังกายสามารถก่อกำเนิดได้จากกำลังภายนอก และกำลังภายในหรือจักระแล้ว พลังสมองก็สามารถก่อกำเนิดได้จากสองแหล่งเช่นเดียวกัน

จักระแห่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์

ภาพข้างบนคือภาพที่ผมประยุกต์มาจากการ์ตูนนินจานารูโตะ 😛 ผมพยายามจะอธิบายว่า มนุษย์เรานั้นจะปล่อยพลังสมองออกมาใน 2 รูปแบบ โดยรูปแบบแรกคือกำลังความคิด และรูปแบบสองคือกำลังปัญญา

กำลังความคิดคือการปล่อยเอาความรู้ที่มีออกมา โดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองอะไร เสมือนกับการเล่าความรู้ที่ตนเองมีออกมาเท่านั้นเอง เช่น ผมกำลังเล่าเรื่องการ์ตูนนารูโตะให้อ่านกันอยู่ เป็นต้น

กำลังปัญญานั้นเหนือกว่า เพราะมันคือการนำความรู้ที่เรามี มารีดเร้นด้วยประสบการณ์ที่เราสะสมมา เพื่อให้ได้เป็นพลังทักษะ จากนั้นเราต้องเอาพลังทักษะของเรา ผ่านกับสมาธิที่เรามีในช่วงขณะนั้น เพื่อให้ได้เป็นพลังปัญญาออกมา

การเกิดกำลังปัญญาจึงเหนือชั้นกว่าการเกิดกำลังความคิดมากนัก!!!

ทีนี้ทำไมผมเล่าเรื่องนี้ออกมา??? นั่นสิ ทำไมเล่า อ้อ จำได้แล้ว ก็เพราะว่าเรามีโจทย์ใหญ่โจทย์นึง ที่มักเป็นที่เล่าขานกันมาตลอด โจทย์นั้นก็คือ … คนที่จบปริญญาโทมาแต่ไม่มีประสบการณ์ กับคนที่จบปริญญาตรีมาแต่มีประสบการณ์มา 2 – 3 ปี ใครมันจะแน่กว่ากัน? ช่างเป็นคำถามที่ล่อแหลมอะไรอย่างนี้ 😛

คำตอบน่ะมันมี ผมจะอธิบายเดี๋ยวนี้แหล่ะ

จักระของคนจบปริญญาโทที่เพิ่งเรียนจบเริ่มจากคนที่จบปริญญาโทมาแต่ไม่มีประสบการณ์ก่อนนะ!!!

คนที่จบปริญญาโทมาคือคนที่เขาลงทุนครับ เขาต้องเสียเงิน, เสียเวลา, เสียโอกาสที่จะได้ท่องเที่ยว, ขยันมุมานะ เพื่ออะไร? ก็เพื่อกอบโกยความรู้ในสาขาวิทยาการที่ตนเองร่ำเรียนไง ทำให้เขามีความรู้มากมายดังภาพซ้าย

แต่เนื่องจากพวกเขาประสบการณ์ยังน้อย เมื่อต้องรีดเร้นพลังทักษะออกมา จึงทำให้พวกเขารีดเร้นความรู้ออกมาสร้างเป็นพลังทักษะได้ไม่มากนัก บางคนก็รีดเร้นออกมาได้ไม่ถึงครึ่ง

ทีนี้เนื่องจากว่ายังใหม่อยู่ ดังนั้นการกำหนดสมาธิในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ยังไม่นิ่งพอ เมื่อไม่นิ่งพอ ก็เลยทำให้การรีดเร้นพลังทักษะออกมาเป็นกำลังทางปัญญา ได้ไม่มากพอเท่าที่ควรจะเป็น

จากภาพซ้ายจะเห็นว่าความรู้น่ะมีตั้ง 90% แน่ะ แต่พอใช้ประสบการณ์อันน้อยนิดที่มี เพื่อรีดเร้นความรู้เป็นทักษะ ก็เลยได้มาแค่ 40% แถมสมาธิก็ยังไม่นิ่งพอ เพราะยังใหม่อ่ะนะ ผลลัพท์ก็เลยได้กำลังปัญญาออกมา 30% เอง น่าเสียดาย

จักระของคนจบปริญญาตรีที่ทำงานมาหลายปีแล้วทีนี้เรามาดูคนที่จบเพียงปริญญาตรีมา และมีประสบการณ์ 2 – 3 ปีบ้าง ว่าเป็นยังไง!!!

คนเหล่านี้จะใช้ชีวิตอยู่กับการทำงานครับ จึงสะสมประสบการณ์ไว้ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนความรู้ทางวิชาการในระดับที่เหนือกว่าปริญญาตรี บางคนก็อาจจะมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ใช้ความรู้ในระดับปริญญาตรีนั่นแหล่ะในการทำงาน ดังภาพขวา

เนื่องจากมีประสบการณ์มาหลายปีแล้ว เวลาพวกเขาจะรีดเร้นความรู้มาสร้างเป็นทักษะ จึงสามารถรีดเร้นออกมาได้เต็มที่ บางคนก็เกือบเต็มที่

ทีนี้อย่างที่บอกว่าสมาธิเป็นกระเปาะสุดท้าย ที่จะรีดเร้นเอาทักษะออกมาเป็นกำลังทางปัญญา คนทำงานมาแล้วก็ย่อมจะมีสมาธิที่สูงกว่า เพราะไม่ใหม่แล้ว เคยทำมาแล้ว จิตก็ผ่อนคลาย

เมื่อเป็นแบบนี้ หากว่าคน ๆ นั้นมีความรู้ 50% ก็สามารถรีดเร้นทักษะได้ 50% แล้วจึงปล่อยกำลังปัญญาออกมาได้ 50%

ซึ่งจากภาพตัวอย่างทั้งสอง จะทำให้เราเข้าใจข้อดีและข้อด้อยของคนจบปริญญาโทแต่ไม่มีประสบการณ์ และคนจบปริญญาตรีแต่มีประสบการณ์ 2 – 3 ปีครับ

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ผมว่าต่างฝ่ายต่างก็ควรปิดข้อด้อยของตัวเองนะ โดยคนที่จบปริญญาโทแต่ไม่มีประสบการณ์ ก็ควรจะสะสมประสบการณ์ และฝึกสมาธิตัวเองให้มาก ๆ ในขณะที่คนจบเพียงปริญญาตรี มีประสบการณ์มาหลายปีแล้ว มีสมาธิดีแล้ว ก็ควรจะหาความรู้ทางวิชาการใส่ตัว โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องไปเรียนต่อปริญญาโทก็ได้ ใช้วิธีเรียนด้วยตนเองก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความลับอีกต่อไป

จักระของคนทั่วไป ที่ไม่ได้ใช้ปัญญาอ้อ ผมเกือบลืม มัวแต่คุยเรื่องกำลังปัญญา เลยลืมเรื่องกำลังความคิดไป คือจะบอกว่าบางคนน่ะความรู้น่ะพอมี หรือไม่ก็มีเยอะเลยล่ะ แต่มักไม่แสดงออกมาในรูปของกำลังปัญญา กลับปลดปล่อยออกมาในรูปของกำลังความคิดแทน ซึ่งลักษณะแบบนี้พวกขี้โม้จะถนัดมากเลยครับ 😛 คือรู้อะไรก็เอามาเล่าต่อ ประมาณนั้น (เหมือนผมเลย อิ อิ), หรือเคยรู้มาว่าจะทำอะไรซักอย่างนึง ต้องทำด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง ก็จะทำด้วยขั้นตอนซ้ำ ๆ ไม่มีพลิกแพลง อะไรประมาณนั้น

ผมหวังว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ทุกคนจะปิดจุดด้อยของตัวเองให้ได้โดยไวนะครับ 😛

[tags]จักระ,กำลังภายนอก,กำลังภายใน,พลัง,นักพัฒนาซอฟต์แวร์,ประสบการณ์,ทักษะ,สมาธิ,ความคิด,ปัญญา[/tags]

Related Posts

9 thoughts on “จักระแห่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์

  1. เรื่องปริญญานี่ผมมองว่า

    ถ้าบริษัทต้องการคนขึ้นมา ผมไม่สนใจหรอกนะว่าเค้าจะจบอะไร ขอแค่เค้าำทำงานได้ตามความต้องการ และเข้ากับบริษัทได้ก็พอ

    แต่ถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งจบโท คนหนึ่งจบตรี สามารถทำในสิ่งที่บริษัทต้องการได้เท่าๆ กัน ก็คงรับทั้งสองคนครับ ^^” (ในกรณีว่ากำลังขยับขยายบริษัท ฮิๆ)

    สุดท้ายแล้วก็ดูที่การนำไปใช้ของคนแต่ละคนมากกว่านะ ผมว่า

  2. พุทธิปัญญา (wisdom) นั้น ผมว่าเกิดได้ต่อเมื่อ เรานำ knowledge มารวมกับexperience, อ้างอิง จาก DIKW model ( Data -> Information -> Knowledge -> Wisdom)

    ในเรื่องการทำงานนั้น ผมคิดว่า ความรู้กับประสบการณ์มีความสำคัญเท่าๆกัน 🙂

  3. แบบนี้แสดงว่า ยังไงคนจบโท ก็มี potential สูงกว่า เพราะทำงานไปเรื่อยๆ มีประสบการณ์มากขึ้น ก็สามารถรีดเร้นออกมาเป็นปัญญาได้มากขึ้น ในขณะที่คนจบตรี มีแค่ไหนก็แค่นั้น !?

    ถ้าจะให้ดี ต้องทำงานให้มีประสบการณ์ก่อน แล้วค่อยไปเรียนต่อโท 😛

  4. ถ้าผมเป็นผู้ประกอบการ ผมเองก็ไม่สนใจวุฒิเหมือนกันครับคุณ xinexo เพราะผมมีวิธีเลือกคนมาทำงานให้ผม ตามแบบของผม ซึ่งสิ่งทดสอบของผม ไม่ได้ยึดติดอยู่กับวุฒิการศึกษาครับ

    ความรู้, ประสบการณ์ และสมาธิมีความสำคัญเท่า ๆ กันครับคุณแรด

    ถ้าคนจบปริญญาตรีเพียงอย่างเดียว แล้วยังตั้งอกตั้งใจ ศึกษาความรู้ทางวิชาการในแขนงที่ตนเองสนใจ มุ่งมั่นศึกษาต่อไป โดยไม่ต้องเรียนต่อปริญญาโท ก็จะยกระดับตัวเองให้เท่ากับคนจบปริญญาโทได้เช่นกันครับคุณ kong

    ผมจะอธิบายไงดีล่ะ อธิบายงี้แล้วกันนะ มันเหมือนกับคน 2 คน มีร่างกายที่ฟิตเปรี๊ยะระดับ 50% ภายหลังจากการเข้าคอร์สออกกำลังกายแห่งหนึ่ง (จบปริญญาตรี) ถ้าคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองยังฟิตไม่พอ อยากจะได้ซัก 90% คนนั้นเขาก็อาจจะเข้าคอร์สออกกำลังกายเพิ่มอีก (เรียนต่อปริญญาโท)

    ในขณะที่อีกคนนึงก็อยากจะฟิตมากกว่านี้ ก็เลือกที่จะออกกำลังกายด้วยตัวเองที่บ้าน (เรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต่อปริญญาโท) เขาคิดที่จะวิดพื้น, ซิทอัพ, วิ่ง และจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายบางแบบไว้ที่บ้าน เพื่อใช้ออกกำลังกายด้วยตารางเวลาของตนเอง

    ถ้าเราถือว่าทั้งสองคนมีความมุ่งมั่นที่เหมือนกัน เขาสองคนก็จะได้ผลลัพท์เดียวกัน จะต่างกันก็แค่ คนแรกที่เลือกเข้าคอร์สออกกำลังกายเพิ่มอีก (เรียนต่อปริญญาโท) จะต้องออกกำลังกายตามตารางเวลาที่เทรนเนอร์กำหนด ต้องมีคนมากระตุ้น ต้องมีคนมากำชับ (เหมือนจ่ายเงินให้เค้ามาสั่งให้เราเล่นเครื่องโน้น ออกแรงกับเครื่องนี้ อะไรประมาณนั้น :-P)

    ส่วนคนที่ออกกำลังกายด้วยตนเอง (เรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต่อปริญญาโท) ก็จะต้องเข้มงวดกับตัวเอง ต้องกำหนดตารางการออกกำลังกายเอง ไม่มีใครมากระตุ้นด้วย ต้องกระตุ้นตัวเอง ตัวเองต้องสร้างวินัย ไม่มีใครมาช่วยด้วย แต่ว่า คนส่วนใหญ่น่ะ เข้มงวดกับตัวเองที่ไหนกันเล่า จริงมั้ย? 😛

  5. ไม่รู้ว่าพี่ไท้ก็อ่านการ์ตูนเหมือนกันครับ
    เข้าใจง่ายดีครับ ผมหมายยถึงตัวอย่าง เข้าใจง่ายครับ
    บางทีความคิดก็เป็นแรงผลักดันสิ่งใหม่ๆเหมือนกันนะครับ

  6. สุดยอดเลยครับพี่ เห็นภาพชัดเลย รู้สึกเหมือนเพื่อนที่กำลังเรียนอยู่ด้วยกันเลยครับ มันก็มักจะมีสองจำพวกนี้แหละ พวกหนึ่งเรียนอย่างเดียวไม่ค่อยทำให้ชำนาญ อีกพวกหนึ่ง ทำอยู่นั่นแหละ ไม่ค่อยเข้าเรียน เพราะไม่ค่อยมีเวลานอน

  7. ขอบคุณครับ อ่านแล้วละเอียดดีมากเลยครับ ทำให้ได้แง่คิดหลาย ๆ แบบเลยครับ และถึงแม้เราจะเรียนต่อ หรือไม่เรียนต่อ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าลืมพัฒนาตัวเอง อย่าลืมที่จะเป็นคนที่ใฝ่หาความรู้ และอย่าลืมตัว มีความสุขกับงานที่เราทำ และอย่าลืมแบ่งความรู้ที่เรามีให้คนอื่น(บ้าง) แค่นี้ก็ เราก็เป็นมนุษย์ที่มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมแล้วครับ ….. เพราะทุกคนเกิดล้วนมาจากที่กำเนิดเดียวกัน สวัสดีปีไหมครับทุกคน…

  8. ผมได้รู้จักการ์ตูนหลาย ๆ เรื่องจากคำแนะนำของผู้ร่วมงานซึ่งมีอายุน้อยกว่าครับ อีกอย่าง น้องชายผมก็มักจะเช่าหนังสือการ์ตูนมาอ่าน ผมในฐานะนายทุนที่เป็นคนออกตังค์ให้น้องไปเช่าหนังสือการ์ตูน ก็เลยได้อ่านไปด้วยโดยปริยายครับคุณหมี 🙂

    ไม่มีเวลานอน เพราะเพื่อนน้องโอมัวแต่เล่น CamFrog จนดึกจนดื่นหรือเปล่า ^o^ อิ อิ

    บางทีการจะต้องไล่เขมือบความรู้มันก็เหนื่อยเหมือนกันอ่ะคุณ Guru พอเผลอแป๊ปเดียว คนอื่นก็ไปไกลแล้ว ต้องไปไล่ตามอีก เหนื่อยอ่ะ เหนื่อย

    ต้องยกความดีให้กับการ์ตูนนารูโตะครับคุณ rux เพราะภาพนี้ผมเปล่าคิดเองอ่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *