ผมเพิ่งอ่านเอกสารรายงานเชิงวิจัยด้านสถิติของ สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งชาติออสเตรเลีย หรือ ASPI จบลงไปเมื่อวานนี้ มันเป็นรายงานที่ออกมาเมื่อเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2566 นี้เอง มันเป็นรายงานที่มีจุดประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข้อมูลยุทธศาสตร์ ในด้านการติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปฏิวัติโลก 44 หัวข้อ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ใครได้เป็นผู้นำในเทคโนโลยีเหล่านั้นก็จะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
สามารถอ่านรายงานตัวเต็มได้ที่นี่ ASPI’s Critical Technology Tracker – The global race for future power
รายงานมีจำนวน 84 หน้า ใช้เวลาเก็บข้อมูล 2 ปี จากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี โดยอ้างอิงจากจำนวนงานวิจัยตีพิมพ์ที่มีคุณภาพสูง (วัดจากการถูกอ้างอิงจากงานวิจัยอื่นอีกทอดหนึ่ง) อ้างอิงจากสถาบันที่ผู้วิจัยสังกัดไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัย บริษัทเอกชน หรือ องค์กรของรัฐ อ้างอิงว่าสถาบันฯ ตั้งอยู่ในประเทศไหน อ้างอิงจากสถานที่เรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก และสถานที่ทำงานของผู้วิจัย และสุดท้ายอ้างอิงว่าสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีนั้น ๆ ครองส่วนแบ่งตลาดโดยใคร
ผลจากการวิจัยด้านสถิติออกมาอย่างเด่นชัดว่า จีนนำสหรัฐในเทคโนโลยีปฏิวัติโลก 37 หัวข้อจากทั้งหมด 44 หัวข้อ โดยที่เหลืออีก 7 หัวข้อสหรัฐเป็นผู้นำในเทคโนโลยีปฏิวัติโลกดังกล่าวอยู่!!!
พูดง่าย ๆ ก็คือ จีนและสหรัฐ เป็นเพียงสองชาติเท่านั้น ที่เป็นผู้นำในเทคโนโลยีปฏิวัติโลก โดยมีจีนนำโด่งและสหรัฐตามมาห่าง ๆ
ซึ่งเทคโนโลยีปฏิวัติโลกจำนวน 44 หัวข้อจากรายงานก็เป็นไปตามตารางข้างล่างนี้
เนื่องจากสถาบันที่ออกรายงานเชิงวิจัยฉบับนี้ เป็นชาติออสเตรเลียที่มองตนเองเป็นฝ่ายเดียวกับฝรั่งตะวันตก ดังนั้น ในรายงานจึงระบุอย่างชัดเจนว่าปัญหาคือ ฝรั่งตะวันตกซึ่งปกครองระบอบประชาธิปไตย กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และสูญเสียสถานะความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีปฏิวัติโลกให้กับจีน ซึ่งเป็นชาติตรงข้ามทั้งในแง่การปกครองที่เป็นคอมมิวนิสต์ และไม่ใช่ฝรั่งตะวันตกผิวขาวพวกเดียวกัน
จีนกำลังเป็นผู้นำในเทคโนโลยีปฏิวัติโลกโดยส่วนใหญ่ และมีความเหนือชั้นมากจนกลายเป็นการผูกขาดทางเทคโนโลยี ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงแก่ฝรั่งตะวันตกที่จะไล่ตามไม่ทัน
ในรายงานได้ระบุถึงวิธีแก้ปัญหา ซึ่งสามารถขมวดรวมไว้ในใจความง่าย ๆ คือ ฝรั่งตะวันตกต้องร่วมมือกันทั้งในด้านการวิจัยและข่าวกรอง รวมทั้งทุ่มเทงบประมาณลงทุนวิจัย เพื่อย่นระยะห่างของตนเองกับสถานะผู้นำทางเทคโนโลยีในหัวข้อที่จีนเป็นผู้นำ และต้องทำทุกวิถีทางให้หัวข้อที่พรรคพวกของตนเองเป็นผู้นำ (สหรัฐเป็นผู้นำใน 7 หัวข้อเทคโนโลยีปฏิวัติโลก) ยังคงเป็นผู้นำอยู่เสมอ
สหรัฐยังคงเป็นผู้นำในเทคโนโลยีปฏิวัติโลกจำนวน 7 หัวข้อ ได้แก่ การคำนวณประสิทธิภาพสูง การออกแบบและประกอบชิ้นส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (แปลงข้อความเป็นเสียง แปลงเสียงเป็นข้อความ เข้าใจข้อความ) การคำนวณควอนตัม วัคซีนและมาตราการตอบโต้ทางการแพทย์ ดาวเทียมขนาดเล็ก และ ระบบปล่อยยานอวกาศ
ในรายงานระบุไว้ชัดเจนว่า วิธีแก้ปัญหาที่ถูกแนะนำในรายงาน ว่ากันตามจริงก็มีหลายชาติได้ลงมือไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการชะลอความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีปฏิวัติโลกหัวข้อนั้น ๆ ของจีนให้ช้าลง ซึ่งในรายงานไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่ผมเองเห็นข่าวพวกนี้ผ่านตามาด้วยตัวเองแล้ว ยกตัวอย่างให้อ่านได้ เช่น
- แคนาดาจับตัวลูกสาวเจ้าของหัวเหว่ย โดยอ้างว่าขายของให้อิหร่าน ฝ่าฝืนมาตรการที่ฝรั่งตะวันตกตั้งกันเอาไว้ เพื่อชะลอความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการสื่อสารคลื่นความถี่วิทยุขั้นสูง (อ้างอิง 13. Advanced radiofrequency communications (incl. 5G and 6G)) ของจีน
- สหรัฐเดินสายให้ชาติยุโรปต่าง ๆ อย่าใช้โครงข่าย 5G ของหัวเหว่ย โดยอ้างความปลอดภัย เพื่อชะลอความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการสื่อสารคลื่นความถี่วิทยุขั้นสูง (อ้างอิง 13. Advanced radiofrequency communications (incl. 5G and 6G)) ของจีน
- สหรัฐคว่ำบาตรบริษัทโดรนของจีน โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน เพื่อชะลอความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีโดรนและหุ่นยนต์ที่ทำงานเป็นกลุ่มร่วมกันได้ (อ้างอิง 40. Drones, swarming and collaborative robots) ของจีน
- สหรัฐพยายามยึด Tiktok และเมื่อยึดไม่ได้ทั้งสหรัฐและชาติยุโรปก็เรียกร้องให้พนักงานของรัฐอย่าใช้ Tiktok เพื่อชะลอคความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (อ้างอิง 17. Advanced data analytics) ของจีน
หรือการทำให้พรรคพวกตนเองยังได้เปรียบในการเป็นผู้นำเทคโนโลยีในหัวข้อที่ยังเป็นผู้นำอยู่ เพื่อให้จีนวิ่งไล่กวดตามไม่ทัน ซึ่งก็เช่นเดียวกันที่ในรายงานไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่มันมีข่าวประเภทนี้ออกมาเยอะมาก เช่น
- สหรัฐบังคับไต้หวัน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ไม่ให้รับจ้างผลิตหรือป้อนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สารกึ่งตัวนำขนาดเล็กให้กับจีน เพื่อชะลอการพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบและประกอบชิ้นส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของจีน (อ้างอิง 21. Advanced integrated circuit design and fabrication) ที่สหรัฐและพรรคพวกยังเป็นผู้นำอยู่
- สหรัฐบังคับเนเธอร์แลนด์ไม่ให้ขายเครื่องฉายรังสีอัลตราไวโอเลตชั้นสูง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตสารกึ่งตัวนำขนาดเล็กให้กับจีน ด้วยเหตุผลเดียวกับข้างต้น (อ้างอิง 21. Advanced integrated circuit design and fabrication)
- สหรัฐกีดกันไม่ให้จีนเข้าร่วมในโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อชะลอการพัฒนาเทคโนโลยีระบบปล่อยยานอวกาศ (อ้างอิง 44. Space launch systems) ของจีน
- สหรัฐไม่ขายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (อ้างอิง 20. High performance computing) ให้จีน จนจีนต้องหาทางทำด้วยตัวเอง แต่จีนก็ยังต้องพึ่งพาวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สารกึ่งตัวนำขนาดเล็ก (อ้างอิง 21. Advanced integrated circuit design and fabrication) ของชาติตะวันตกอยู่
- บริษัท OpenAI ของสหรัฐปล่อย ChatGPT ซึ่งเป็น Chatbot ฉลาดมาก ๆ และมีผู้ลงทะเบียนอย่างรวดเร็วมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกก่อนที่จีนจะทำได้ (อ้างอิง 22. Natural language processing (incl. speech and text recognition and analysis))
หรือเหตุบังเอิญบางอย่างที่สอดคล้องกันจนไม่น่าเกิดขึ้นได้ ซึ่งในรายงานไม่ได้กล่าวไว้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น
- การระบาดของไวรัสโควิดที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นก่อนช่วงตรุษจีน ปี ค.ศ. 2020 ในจีน และสหรัฐก็สามารถคิดค้นวัคซีน mRNA ทั้ง pFizer และ Moderna รวมทั้งวัคซีนเชื้อเป็น เช่น Johnson & Johnson ได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ อีกทั้งอังกฤษก็สามารถคิดค้นวัคซีนเชื้อเป็นอย่าง AstraZeneca ได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ เช่นกัน (37. Vaccines and medical countermeasures) ซึ่งเทคโนโลยีด้านนี้ของจีนยังไล่กวดห่างจากผู้นำอย่างสหรัฐอยู่เยอะพอสมควร
ในขณะที่วิธีแก้ปัญหาบางวิธีที่ถูกแนะนำในรายงานก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เช่น เรื่องของการทุ่มเทงบประมาณในการวิจัยให้มากขึ้น เพราะถ้าที่ผ่านมาประเทศฝรั่งตะวันตกการเมืองดี เศรษฐกิจดี ก็ยังไล่กวดตามจีนไม่ทัน แล้วตอนนี้มีสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่สร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจของชาติฝรั่งตะวันตก เช่น ยุโรปเกือบทั้งทวีป และอาจลามไปถึงสหรัฐให้มีปัญหาไปด้วย ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจมันไม่ดี เรื่องปากท้องมันต้องมาก่อน ส่วนเรื่องวิจัยต้องตามมาทีหลัง และมันก็จะกลายเป็นการถูกทิ้งห่างโดยจีนมากขึ้น เพราะเงินทองมันไม่มีนั่นเอง
ตอนนี้จีนกลายเป็นโรงงานของโลก เป็นเจ้าสัวของโลก อีกทั้งยังผลิตนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในปริมาณที่มากมาย รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเหล่านั้น ต่างก็ระดมตีพิมพ์งานวิจัยที่มีคุณภาพ รวมทั้งร่วมงานกับบริษัทเอกชนเพื่อจดทะเบียนสิทธิบัตรต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงความได้เปรียบ ในการพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปฏิวัติโลกในหัวข้อต่าง ๆ ของจีน และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงจากงานวิจัยเชิงสถิติที่สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งชาติออสเตรเลียได้ตีพิมพ์ออกมา
ส่วนตัวมองว่าเทคโนโลยีอันก้าวหน้าของอารยธรรมใด ๆ ก็ขึ้นกับคุณภาพประชากรของอารยธรรมนั้น ๆ และเมื่อประชากรมีคุณภาพ เริ่มต้นก่อตั้งสถาบันวิจัย ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการ หรือบริษัทเอกชน แล้วก็ผลิตประชากรที่มีคุณภาพเพื่อมาทำวิจัยคิดค้น ค้นพบ ประดิษฐ์ งานวิจัยตามระบบวิธีปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้เทคโนโลยีล้ำหน้าต่าง ๆ ขึ้นมา อารยธรรมนั้น ๆ ก็ย่อมต้องเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันไม่มากก็น้อย