เราคงจะไปเปรียบเมืองไทยเราให้ไปเหมือนสหรัฐอเมริกาไม่ได้ครับ อย่างที่สหรัฐอเมริกานั้น หากใครคิดจะทำธุรกิจ Web Application เพื่อหวังจะได้ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการ หรือได้ค่าธรรมเนียมจากการโฆษณา เขาก็จะเปิดบริษัทตูม ๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำขึ้นมาเลย เพราะเขาสามารถระดมทุนได้โดยง่าย ความฝันในอนาคตของธุรกิจของพวกเขาสามารถขายได้ มีคนซื้อซะด้วย
ในช่วงแรกที่ธุรกิจยังไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดที่เป็นบวกได้จึงไม่น่าห่วงอะไร เพราะระดมทุนมาได้เยอะ ทุนหนา!!
แต่เมืองไทยเราจะทำแบบนั้นไม่ได้ เราระดมทุนลำบาก เพราะไม่มีใครยอมซื้อความฝันหรือซื้ออนาคตกันซักเท่าไหร่ ดังนั้นผู้ก่อตั้งธุรกิจ Web Application จึงจำเป็นต้องลงทุนด้วยตัวเองไปก่อน ทั้งลงทุนเงินของตัวเองและลงทุนแรงงานของตัวเอง
สูตรสำเร็จที่คนรอบ ๆ ตัวผมมักจะทำกันบ่อย ๆ ก็คือ ตั้งบริษัท Web Application ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แต่ชำระค่าหุ้นเพียง 25% ของทุนจดทะเบียนซึ่งก็คือ 250,000 บาท ซึ่งถ้าใครเคยอ่านประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็จะรู้ว่ากฎหมายนั้นเปิดช่องให้กระทำได้
จากนั้นก็อย่าเพิ่งสร้างหนี้สิน หรือไปมีเรื่องมีราวกับใคร เพราะถ้าสร้างหนี้สินแล้วโดนฟ้อง หรือไปมีเรื่องมีราวจนโดนฟ้อง แล้วถูกบังคับคดีให้ใช้หนี้ก้อนใหญ่ ก็จะต้องชดใช้ด้วยทุนของบริษัทที่มี ซึ่งถ้าเจอหนี้ก้อนล่ะ 1,000,000 บาท เห็นทีจะแย่ เพราะผู้ถือหุ้นก็ต้องร่วมใช้หนี้ด้วย เพราะยังไม่ได้ชำระค่าหุ้นให้ครบ ยังขาดอีก 750,000 บาท (ถ้ามีเงินเหลือถึง 750,000 บาท ก็คงจะจ่ายค่าหุ้นเต็มจำนวนไปแล้ว ไม่ยื้อไว้ร้อก)
ความฝันในการทำธุรกิจ Web Application แบบเต็มรูปแบบในช่วงแรกนั้นยังทำไม่ได้ครับ เพราะปัญหากระแสเงินสดที่ต้องเป็นบวกให้ได้มันค้ำคออยู่ ดังนั้นเรื่องการหารายได้จากค่าธรรมเนียมในการให้บริการ หรือรายได้จากค่าธรรมเนียมในการรับจ้างโฆษณาจึงต้องพักไว้ก่อน ต้องหารายได้จากทางอื่นก่อน นั่นก็คือรับจ้างผลิตหรือดูแลเว็บไซต์ตามความต้องการของลูกค้า
ผมเห็นหลายบริษัททำงี้นะแปลกดี คือจริง ๆ บริษัทของพวกเขาต้องการสร้างรายได้หลักจากการรับจ้างผลิตและดูแลเว็บไซต์ แต่เนื่องจากการแข่งขันมันสูง คู่แข่งเยอะเหลือเกิน บริษัทเหล่านั้นจึงพยายามสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา แล้วโปรโมตให้เว็บไซต์เหล่านั้นดัง เพื่อหวังจะเป็นกระบอกเสียงให้กับตนเอง ในการเรียกลูกค้าให้มาใช้บริการผลิตและดูแลเว็บไซต์ของตน
แต่ทำไปทำมา กระบอกเสียงดันกลายเป็นกระบอกใส่ทองไป เพราะเว็บไซต์ที่ดัง ย่อมสามารถแปะโฆษณาเพื่อหารายได้เป็นกอบเป็นกำได้อีกทางนึง ซึ่งรายได้เหล่านี้อาจจะไม่ใช่เจตนาแรกที่บริษัทเหล่านั้นคาดหวังเอาไว้ก็ได้!!!
อือม มันจะเป็นการดีมั้ยน้อ ถ้าเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องกระแสเงินสดที่เป็นบวกช่วงแรกไปได้ โดยการที่เรารับ Web Programmer เข้ามาซัก 10 คน, รับ Web Designer เข้ามาซัก 3 คน, รับผู้จัดการเข้ามาอีก 1 คน แล้วใช้ให้พวกเค้าเหล่านั้นผลิต Web Application เจ๋ง ๆ ขึ้นมาซักเว็บนึง โดยที่บริษัทเราจะไม่รับงานผลิตหรือดูแลเว็บไซต์ใด ๆ เลย และี่บริษัทเราจะไม่จ่ายเงินเดือนตลอด 12 เดือนแรกให้พนักงานทั้ง 14 คนเลยแม้แต่บาทเดียว!!!
ป.ล. 1 – คิดได้ ทำไม่ได้
ป.ล. 2 – เห็นหรือยังว่าช่วงแรก “ทุน” เป็นสิ่งสำคัญจริง ๆ เพราะมันเอาไว้ “จ้าง” คนมาทำงานให้ไง อย่าคิดจะทำอะไรคนเดียวหรือสองคนล่ะ ขาดใจตายแน่ ๆ
ป.ล. 3 – ถ้ายังสร้าง “ระบบ” ที่หมุนเวียน “กระแสเงินสด” ที่เป็นบวกไม่ได้ งานนี้ต่อให้มีโปรแกรมเมอร์อีกเท่าตัว ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน
[tags]WEB, Application, ธุรกิจ, การจัดการ, การเติบโต, คอมพิวเตอร์, อินเตอร์เน็ต, ซอฟต์แวร์[/tags]
เสริมให้นิดหน่อยครับ
“สูตรสำเร็จที่คนรอบ ๆ ตัวผมมักจะทำกันบ่อย ๆ ก็คือ ตั้งบริษัท Web Application ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แต่ชำระค่าหุ้นเพียง 25% ของทุนจดทะเบียนซึ่งก็คือ 250,000 บาท ซึ่งถ้าใครเคยอ่านประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็จะรู้ว่ากฎหมายนั้นเปิดช่องให้กระทำได้”
ในทางปฏิบัติ ไม่ชำระแม้แต่บาทเดียวก็ยังได้ครับ ลมล้วน ๆ
คุณ kim ครับผมเข้าใจถูกรึเปล่า ว่าถ้ายังไม่ก่อหนี้ขึ้นทุนจดทะเบียนเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ ลมนั้นยังคงมีค่า 1 ล้านต่อไป
ขอเสริมพี่ไท้หน่อยล่ะกัน
สิ่งแวดล้อมในวงการ Web Application ในบ้านเราแตกต่างจากทางฝั่งอเมริกาและยุโรปมาก ทั้งความร่วมมือของแหล่งเงินทุนและปริมาณของกลุ่มผู้ใช้ คงเป็นการยากที่จะนำโมเดลของฝรั้งมาใช้ คงต้องอาศัยโมเดลแบบ creative and sufficiency model (CSM) คือต้องอาศัยความชอบและไอเดียกำลังความคิดเป็นทุน สร้างความแตกต่างด้วยแนวความคิดที่แปลกไหม่ มีความน่าสนใจถูกใจกลุ่มผู้ใช้
ยึดหลักความพอเพียงในการผลิต ยังไม่ต้องจ้างใครมีเพียงคุณและเพื่อนๆทีมีความคิดตรงกัน ทำตามกำลังที่มีไม่จำเป็นต้องไหญ่โตแค่ตอบโจทย์ที่คุณวางไว้ได้ก็พอ นำผลผลิตที่ได้เข้าสู่อินเตอร์เน็ต ใช้หลายๆเทคนิคเพื่อทำให้ผลผลิตของเราไปถึงผู้ใช้ให้ได้ (ทุกๆเทคนิคที่มันฟรี)
แล้วก็รอฟังผลตอบรับของผู้ใช้มาปรับปรุงและพัฒนางานของเราให้ดีขึ้น รักษาปริมาณกลุ่มผู้ใช้ไว้ให้ได้ หลังจากนั้นมองหาโฆษณาหรือโมเดลทางธรุกิจแบบอื่น
เพื่อใช้เป็นช่องทางสร้างรายรับเข้ามาสู่เว็บ (อย่างหลังนี้แหละโครตยากเลย)
พูดง่ายครับแต่ทำจริงๆยาก(*) แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครทำสำเร็จอยู่ที่ว่าคุณเริ่มทำแล้วรึยัง
*ปล.โมเดลนี้เป็นโมเดลที่ผมคิดขึ้นเอง ใครเอาไปใช้แล้วเจ้งผมไม่รับเคลมในทุกกรณี อิอิอิ(เป็นแบบคำเตือนที่ตัวเล็กๆอยู่ด้านล่างของโฆษณาที่ไม่เอาแว่นขยายส่องก็จะมองไม่เห็น)
กระแสเงินสดสำคัญจริงๆ
แล้วทำไมเราไม่ทำ Web Application ของเราให้คนที่อเมริกาใช้ได้ด้วยล่ะครับ ขยายตลาดของเราออกไป โดยทำเว็บให้เป็นสากล รายได้เราก็ไม่จำกัดกับจำนวนประชากรของประเทศไทยอีก
แต่ผมสนใจเรื่องการจัดตั้งบริษัทด้วยหุ้นลมนี่แฮะ จะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากไหนครับเนี่ย
คุณ memtest+panuta
“ถ้ายังไม่ก่อหนี้ขึ้นทุนจดทะเบียนเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ ลมนั้นยังคงมีค่า 1 ล้านต่อไป” ถูกต้องครับ แต่ยังไม่หมด
เพราะหลักคือว่า เราจดทะเบียน 1 ล้าน
ถ้าเรายังไม่มีทุน เราก็ให้บัญชี ลงว่า
1 ล้านที่นำมาลงทุน ให้กรรมการกู้ยืมครับ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ก็ว่าไป
ถ้าเราทำธุรกิจแล้วกำไร ทุนส่วนนี้ ก็ไม่ต้องชำระ (ไม่นับ cashflow)
แต่ต้องทำลงบัญชีว่า เสียดอกให้บริษัท ซึ่งก็คล้าย ๆ อัฐยายซื้อขนมยาย
จะมีส่วนต่างก็คือดอกเบี้ยครับ ที่ต้องจ่ายคืน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดดอกเบี้ยตัวเองเท่าไหร่
detail ลองถามสำนักงานบัญชีครับ ใช้สูตรนี้ทั้งนั้น
อีกนิดครับ คุณ panuta
“แล้วทำไมเราไม่ทำ Web Application ของเราให้คนที่อเมริกาใช้ได้ด้วยล่ะครับ ขยายตลาดของเราออกไป โดยทำเว็บให้เป็นสากล รายได้เราก็ไม่จำกัดกับจำนวนประชากรของประเทศไทยอีก”
นี่ไงครับ SaaS ของไทย ขายต่างชาติ
พี่ไท้เองก็เคยเขียนถึง
ลืม link ครับ
http://letsprove.com/index.php
ผมว่า Web App ตอนนีเติบโตได้ง่ายนะครับ แล้วจะให้มันสามารถสร้างเงิน ได้ทำไมเราไม่ขาย Component Mall กันดีกว่าไหมครับ ??
หรือว่า SaaS ช่วงนี้มีคนกล่างถึงบ่อยแต่ผมว่าการพัฒนาใช้ทุนพัฒนาสูงอยู่เหมือนกันนะครับ ถ้าจะออกมาให้ดีเลยจริงๆ
ผมว่าทำ 2 คนไม่แน่ก็สามารถทำสำเร็จได้นะครับ การพัฒนา Program แบบ XP Programming ผมว่าสามารถทำให้สำเร็จได้จริงๆนะ แต่ใช้ได้ผลกับ Programmer เก่งๆ 2 คนมารวมกัน แล้วจะกลายเป็นผลอันน่าอัศจรรย์จริงๆครับ
@DominixZ ต้องเป็นคนที่ทำงานร่วมกันได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
พอรู้ข้อมูลมานิดหน่อย ก็ขอเสริม #5 นิดนึงว่า นอกจากลงว่าเสียดอกเบียให้บริษัทแล้ว
ดอกเบี้ยนั้นก็ถือเป็ยรายได้บริษัท ต้องเอาไปเสียภาษีอีกด้วย
คือ ถึงตัวเงินไม่ได้ลอยไปลอยมา แค่ตัวเลขลงบัญชีไว้ลอยๆ ก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายได้
แต่ไม่แน่ใจว่า ถ้าจะคิดดอกเบี้ยตัวเองเป็น 0 จะได้หรือเปล่านะ 😀
ส่วนที่พี่ไท้เขียนว่า 12 เดือนแรกไม่จ่ายเงินให้พนักงานเลยเนี่ย
แล้วจะมีคนมาทำให้มั๊ยหนอเนี่ย เหอๆ
คนส่วนใหญ่มักจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท โดยไม่เรียกชำระค่าหุ้นก่อน อย่างที่คุณ kim บอกจริง ๆ นั่นแหล่ะครับ ลมล้วน ๆ
เมืองไทยเรา ใช้แรงบันดาลใจล้วน ๆ ครับคุณ memtest
เงินมันเป็นพ่อของพระเจ้าครับคุณ it44 ไม่ใช่พระเจ้าอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ
การที่เราจะทำ Web Application ของเราให้คนอเมริกันใช้ได้ สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ เข้าใจรู้แจ้งในวัฒนธรรมอเมริกันให้มาก ๆ ครับคุณ panuta นั่นแหล่ะสิ่งแรกเลย เพราะถ้าไม่เข้าใจ ก็คงตั้งโจทย์ไม่ได้ว่าคนอเมริกันนั้น ต้องการอะไรจาก Web Application บ้าง
สำหรับความคิดเห็นของคุณ kim เรื่องการลงบัญชีว่ากรรมการเป็นลูกหนี้แล้วคิดดอกเบี้ยเป็นเท่าไหร่ก็ว่าไปนั้น เป็นสิ่งที่ … อือม … เกรงใจจัง … มัน … ไม่น่าทำครับ เพราะรายการทางบัญชีจะไปปรากฎใน “บัญชีลูกหนี้” อีกทั้งยังไปปรากฎใน “รายงานลูกหนี้ครบกำหนดชำระ” ด้วย ซึ่งที่ปรึกษาทางบัญชีบอกไว้ว่า “ลูกหนี้” เป็นสินทรัพย์สำคัญ จึงต้องมี “บัญชีลูกหนี้” มากำกับ ดังนั้น จะเป็นการดีกว่าถ้าเราลงบัญชี “หุ้นลม” เป็น “ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า” แทนครับ ถือว่าเป็นสินทรัพย์อย่างนึง แต่ไม่ถูกเพ่งมองมากนัก การคำนวณสัดส่วนทางบัญชีก็สะดวก เพราะมันไม่มาเป็น “บัญชีลูกหนี้” จนทำให้คำนวณอัตราส่วนต่าง ๆ อันเกิดจากการประกอบธุรกิจจริง ๆ ผิดพลาดไป
ว่าแต่ ตกลงคุณ kim นี่เป็นเจ้าของ letsprove ใช่ป่ะครับเนี่ย ^-^ ถ้าใช่ล่ะก็ ขอบอกว่า letsprove.tv เจ๋งมากเลยครับ
Web Programmer เก่ง ๆ ซัก 4 คนยิ่งดีครับคุณ DominixZ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เก่ง Web แฮะ เพราะตลอดสิบกว่าปี คลุกคลีตีโมงอยู่กับ Win32 Desk App ตลอดเลย T-T มาผิดทาง ไม่น่าเลยเรา
ถ้าทั้ง 14 คนนั้น คือผู้ลงทุนในบริษัทด้วย “แรงงาน” ตลอด 12 เดือนแรก ย่อมทำได้ครับคุณ iPAtS แต่ถ้าทั้ง 14 คนเป็นลูกจ้างของบริษัท ย่อมทำไม่ได้ครับ T-T
พี่ไท้ เปิดบริษัทเลย เดี๋ยวผมไปช่วยทำ Web App ให้มันล่ม
ไม่เคยคิดจะทำเองเลย ไม่ถนัดอะไรซักอย่าง หาเงินก็ไม่เก่งครับ