เรามาดูกันดีกว่าว่า สงครามแบบแยกย่อย ซึ่งเกิดขึ้นในเขตฉุกเฉินของกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น ๆ ในช่วงวันที่ 15 พ.ค. 2553 ถึง 21 พ.ค. 2553 สร้างความเสียหายกับอะไรบ้าง โดยเน้นไปที่วงการไอทีเป็นสำคัญ!!!
ตามโมเดล ความมั่งคั่งปฏิวัติ เขียนโดย Alvin & Heidi Toffler แปลโดย คนชายขอบ
ในหนังสือ ความมั่งคั่งปฏิวัติ หน้าที่ 74-85 ได้อธิบายถึง การปะทะกันระหว่างความเร็ว ซึ่งผมจะหยิบยกมาใช้เพื่อการอธิบาย ดังนี้ …
- 100 ไมล์ต่อชั่วโมง = ภาคธุรกิจ
- 90 ไมล์ต่อชั่วโมง = ภาคประชาสังคม
- 60 ไมล์ต่อชั่วโมง = ครอบครัว
- 30 ไมล์ต่อชั่วโมง = สหภาพแรงงาน
- 25 ไมล์ต่อชั่วโมง = หน่วยงานรัฐ
- 10 ไมล์ต่อชั่วโมง = ระบบโรงเรียน
- 5 ไมล์ต่อชั่วโมง = องค์กรโลกบาล
- 3 ไมล์ต่อชั่วโมง = โครงสร้างทางการเมือง
- 1 ไมล์ต่อชั่วโมง = กฎหมาย
จริง ๆ มันเป็นหนังสือที่เขียนโดยคนอเมริกัน สะท้อนภาพรวมของอเมริกัน แต่ผมเห็นว่าหลาย ๆ อย่างมันพอจะกล้อมแกล้มเข้ากับพี่ไทยเราได้ ก็เลยนำโมเดลการเปรียบเทียบมาใช้!!!
สีแดงที่ป้ายเอาไว้บอกถึงสิ่งที่ได้รับความเสียหายจากสงครามฯครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับวงการไอที เพราะภาคธุรกิจที่ได้รับความเสียหายในครั้งนี้ คือภาคการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่ภาคธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตและการให้บริการด้านไอที ยังไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากสงครามฯครั้งนี้มากนัก … แต่ครั้งหน้าไม่แน่!!!
ตามโมเดล เงินตราแห่งอนาคต เขียนโดย Bernard Lietaer
ในหนังสือ เงินตราแห่งอนาคต หน้าที่ 2-19 ได้อธิบายถึง เครื่องย่นกาลเวลา ซึ่งเป็นสิ่งเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคม โดยมีเงินตราเป็นพาหะสำคัญในการเปลี่ยนแปลง อันได้แก่ …
- อายุขัยที่ยืนยาวขึ้นของประชากร
- การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญสิ้นความหลากหลายของชีวภาพ
- ระบบการเงินไร้เสถียรภาพ
ผมไม่ได้ป้ายสีแดงเอาไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสงครามฯครั้งนี้ ไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ กับ เครื่องย่นกาลเวลา ทั้งสี่แหล่งเลย (ถึงแม้การเผาเมืองจะทำให้สภาพภูมิอากาศเสียก็เถอะ) นั่นหมายความว่าเครื่องย่นกาลเวลาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของมัน และยังคงตั้งหน้าตั้งตาปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศต่อไป!!!
ตามโมเดล คลื่นลูกที่สาม เขียนโดย Alvin Toffler
ในหนังสือ คลื่นลูกที่สาม ทั้งเล่ม ได้อธิบายถึงสังคมที่เคลื่อนผ่านของอารยธรรมมนุษย์ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่บนความเหลื่อมซ้อนของพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น …
- สังคมเกษตรกรรม
- สังคมอุตสาหกรรมโลว์เทค
- สังคมอุตสาหกรรมไฮเทค
สำหรับวงการไอทีเรา ถือว่าอยู่ในสังคมอุตสาหกรรมไฮเทค อือม จะว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ไฮเทคของไทยเราส่วนใหญ่ ล้วนนำเข้ามาทั้งนั้น ยิ่งซอฟต์แวร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งนำเข้ามาทั้งดุ้นเข้าไปใหญ่ ดังนั้น หากเกิดความเสียหายกับ ท่าเรือ หรือ สนามบิน หรือ ธุรกิจโทรคมนาคม จึงจะเกิดความเสียหายกับสังคมอุตสาหกรรมไฮเทคไทยโดยตรง
—
โดยส่วนตัวแล้วมองว่า สงครามแบบแยกย่อย ยังจำเป็นต้องใช้โมเดลอีกหลาย ๆ แบบเพื่อการอธิบายครับ เพื่อการป้องกันและป้องปรามความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต!!!
[tags]สงคราม, แยกย่อย, สงครามแบบแยกย่อย[/tags]
รู้สึกว่าปัญญาผมจะไม่ถึงที่จะอ่าน entry นี้นะ T_T
มันเป็นปรมัตถ์ครับ ต้องคนเผาถ่านขายถึงจะเข้าใจ
วิกฤตทุกอย่างเราจะผ่านไปได้ ถ้าเรามีอาชีพสำรอง เหมือนการทำเกษตรล่ะครับ ปลูกพืชเชิงเดี่ยวความเสี่ยงสูง แต่ถ้ารอดก็เหมือนถูกหวยรางวัลโบนัส แต่ถ้าผสมผสาน พืชตัวหนึ่งราคาตก เราก็ยังมีตัวอื่นประคองชีวิตไปได้เรื่อยๆ
ผมถนัดด้านเกษตรของอธิบายไปในทางนี้ละกัน แฮ่ะๆ
สรุป : บุคลากรด้านไอที ก็ควรมีอาชีพสำรอง หรือทักษะด้านอื่น เผื่อใช้เลี้ยงชีพยามฉุกเฉิน หากไอ้โมเดลตามที่พี่อ้างอิงมามันเกิดขึ้นมาจริงๆ
อ่านหัวข้อนี้ ใช้ความรู้สึกล้วน ๆ ครับคุณ AMp
ผมไม่ได้ยินคำว่า “ปรมัตถ์” มานานแล้ว จำไม่ได้แล้วว่าหมายความว่ายังไง พอเห็นคุณ gingtalk บอก ผมก็เลยไปหาถึงได้รู้ว่า … ศัพท์มัน … สูง … จริง ๆ!
ตอนนี้ผมกำลังทำเกษตรประณีตบน Facebook อยู่ครับคุณ ironkong ^-^ อิ อิ