หลายวันก่อนมีนักวิเคราะห์ระบบสาวมาปรึกษาปัญหาเรื่องทีมงานให้ผมฟังครับ อันนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก คือเธอเป็นคนมีความสามารถในการทำแผนงาน, แผนกำลังพล, มีความสามารถในการออกแบบ data dictionary, ออกแบบ work flow, เขียน functional specification นะ
แต่เธอกลับมีปัญหาเรื่องการปกครองทีมงาน เพราะทีมงานของเธอล้วนอายุมากกว่าเธอ และดื้อซะด้วยสิ ไม่เชื่อฟังเธอเลย!!!
องค์กรที่ผมทำงานเป็นงี้ครับ คนที่จบปริญญาตรีจะเติบโตช้ากว่าคนที่จบปริญญาโท ดังนั้นถ้าหากว่าจบปริญญาโทมาแล้ว ก็จะสามารถมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบได้เลย จึงต้องมาปกครองคนที่จบปริญญาตรี ซึ่งคนที่จบปริญญาตรีเหล่านั้นเลือกที่จะทำงาน ไม่เรียนปริญญาโท อาจจะด้วยเหตุผลทางการเงิน หรือไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะเรียนต่อตั้งแต่แรก
จริง ๆ แล้วผมก็เข้าใจนะ ว่าคนที่จบทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์, วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศมานั้น ไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์มา ดังนั้นแค่ทำงานเชิงระบบและเทคนิคที่ตัวเองต้องทำก็แย่อยู่แล้ว ถ้าต้องมาเรียนรู้ทางด้านการปกครองเพิ่มเติมด้วย ก็ลำบากอยู่ไม่น้อย
แต่มันจำเป็นครับ เพราะเราทำงานคนเดียวไม่ได้ ถ้าปกครองทีมงานไม่ได้ เราก็ขาดใจตายอยู่คนเดียว
การจะปกครองทีมงานได้ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ความสามารถทางระบบหรือเทคนิคครับ แต่เป็น “บารมี” และ “เสน่ห์” การสะกดคนให้อยู่ในความปกครองต้องใช้สองอย่างนี้เป็นสำคัญ
ผมเคยเจอผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่ง ท่านมีความสามารถสูงมาก แต่เนื่องจากท่านมี “บารมี” แต่ขาด “เสน่ห์” จึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดื้อเงียบ ฟัง ๆ แต่ไม่ทำตาม ซึ่งท่านก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะตัวท่านเองปรับปรุงบุคลิกภาพของตัวเองไม่ได้
บางคนขาด “บารมี” แต่มี “เสน่ห์” จึงทำให้คนในทีมงานคล้อยตาม ทำงานให้อย่างยินดี แต่เมื่อคนในทีมงานทำผิดพลาด ก็ไม่สามารถควบคุมลงโทษได้ เพราะไร้ซึ่งบารมีให้เกรงขาม
สองอย่างนี้เลยสำคัญไปโดยปริยาย!!!
สิ่งที่ผมให้คำปรึกษากับนักวิเคราะห์ระบบคนนี้แบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้คือ
- ให้ค้นหาหัวโจกที่มีบารมีซึ่งเป็นผู้ชักชวนให้คนในทีมงานคล้อยตามให้ได้ จากนั้นทำการ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” โดยการเข้าประกบคนในทีมงานคนอื่นทุกคน ยกเว้นตัวหัวโจก จากนั้นยุติการมอบหมายงานที่จำเป็นให้กับตัวหัวโจก แล้วนำงานดังกล่าวมอบหมายให้คนอื่นในทีมแทน นอกจากนี้ก็ต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ด้วย เพื่อขออำนาจในการปรับปรุงโครงสร้างทีมงาน
- ละลายบารมีของหัวโจก โดยการมอบหมายให้คนในทีมไปร่วมแบ่งงานจากหัวโจกด้วย เพื่อให้หัวโจกหมดอำนาจในการต่อรอง
- เมื่อมีพนักงานมาใหม่ซึ่งอายุน้อยกว่า ให้ออกอุบายขอคนดังกล่าวมาทำงานในทีมแทน จากนั้นออกอุบายเพื่อส่งคนในทีมที่มีอายุมากกว่า, ทำงานได้ไม่ดี และต่อต้านออกไปจากทีม
- หากมีพนักงานในทีมอื่นซึ่งมีวุฒิภาวะที่ด้อยกว่า ให้ขอตัวมาทำงานในทีมงานด้วย โดยขอแลกกับคนที่มีความสามารถ แต่เราปกครองไม่ได้
- คนในทีมงานที่มาใหม่ให้ดึงมาเป็นพวก โดยการสอนงานให้ มอบหมายงานให้ และกำหนดให้ต้องขึ้นตรงต่อเรา ต้องเลี้ยงดูอวยยศให้ดี เพื่อจะได้เป็นกำลังให้เราในภายหน้า
เมื่อทำตามขั้นตอนแบบนี้แล้ว สัดส่วนของคนของเราก็จะเพิ่มขึ้น จนเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป เราจะมีกองกำลังเพิ่มขึ้น จนสามารถต่อรองกับคนในทีมงานให้จำยอมและคล้อยตามได้ ถึงตอนนั้นเราก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า “บารมี” และ “เสน่ห์” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปกครองทีมงาน
จะเห็นว่าวิธีการในหลายข้อดูจะโหดร้าย, ทุเรศ และใจดำมาก ๆ แต่อำนาจในการปกครองเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนผ่าน เมื่อเรามาอยู่ในฐานะที่จะต้องมีอำนาจ เราก็จำเป็นต้องมีอำนาจจริง ๆ ไม่ใช่อำนาจจอมปลอม บางครั้งเราก็รอไม่ได้ที่จะพิสูจน์ฝีมือของเราเองในการกล่อมคนที่มีความสามารถให้มาอยู่ใต้อำนาจเรา สำหรับผมแล้วการให้คนเก่งยอมเชื่อฟังทำงานให้เรา ดูจะเป็นเรื่องที่เข้าท่ามากกว่านะ แต่ถ้าเวลามันไม่พอ ก็คงต้องทำแบบเนี้ยแหล่ะ
จริง ๆ แล้ว “บารมี” ประกอบด้วย “ฐานะที่เหนือกว่า” และ “การอยู่มาก่อน” จะเห็นว่านักวิเคราะห์ระบบนั้นมี “ฐานะที่เหนือกว่า” ในขณะที่คนในทีมงาน “อยู่มาก่อน” ดังนั้นเพื่อจะให้ได้อำนาจในการปกครอง ก็ต้องเติมส่วนของ “การอยู่มาก่อน” ให้กับนักวิเคราะห์คนนี้ โดยการ “เปลี่ยนน้ำ” เพื่อเอา “น้ำใหม่” เข้ามาแทนที่ “น้ำเก่า” นั่นเอง
ผมไม่รู้ว่าเธอจะเอาไปดำเนินการตามที่ผมบอกหรือเปล่า แต่ก็ขอให้เธอทำให้ได้แล้วกัน เพราะทีมของเธอ เธอก็ต้องปกครองให้ได้ครับ
[tags]ทีมงาน, ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์, ไม่เชื่อฟัง[/tags]
เรียนรัฐศาสตร์ช่วยเปิดสมองอีกซักของพวกสายวิทยาศาสตร์เยอะเลยครับ เป็นอย่างนี้จริงๆ ทำให้เรามองสิ่งต่างๆอีกแบบที่ไม่เคยมองมาก่อน ทำให้เรารู้จักมองสิ่งต่างๆรอบด้านขึ้น และสามารถต่อยอดทางความคิดได้ดีกว่าการมีมุมมองทางด้าน science อย่างเดียว เรียน MBA ยังช่วยไม่ได้มากเท่ารัฐศาสตร์เลยครับ ในแง่การมองโลก แต่ส่วนเรื่องการบริหาร จัดการ MBA น่าจะช่วยเยอะ
ที่พูดๆมาก็มั่วๆตามประสบการณ์ที่เจอนะครับ อิอิ
เอ แต่ผมเห็นประวัติการศึกษาคุณ BigNose แล้ว ไม่ได้มั่วแล้วอ่ะครับ คุณ BigNose เป็นของจริงอ่ะครับ
เป็นวิธีการที่แยบยล แอบโหดร้ายจริงๆ ครับ
ผมไม่สามารถคิดอะไรแบบนี้ได้จริงๆ อ่านแล้วได้แง่คิด แต่จะได้เอาไปใช้จริงหรือเปล่า ยังไม่รู้ครับ อิอิ
ผมเองก็ไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรงหรอกครับ เหอๆๆๆ แต่ก็สามารถปกครองคนต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ผมอาจโชคดีที่ได้เกิดเป็นนายคนตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมได้ศึกษาเรื่องหลักการปกครอง มาบ้างเมื่อสมัยที่ผมทำงานอยู่กับ ญี่ปุ่น หลักการง่าย ๆ มาก ๆ ครับคนส่วนใหญ่มักชอบคิดว่าตนเองนั้นอาวุโสกว่าเสมอ ยิ่งเราอายุน้อยกว่าแล้วหละก็อย่าให้พูดเลย สิ่งที่ทำได้และแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ ใช้อานาจที่คุณมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ครับ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี กฏนี้ใช้ได้เสมอ เมื่อเขามั่นใจว่าคุณเป็นผู้นำได้ เขาจะยอมคุณเอง อีกประการหนึ่งก็คือ ให้เอาใจเขามาใส่ใจเราครับ บางครั้งคนพวกนี้มีปัญหามากมาย แต่แก้ไม่ค่อยเป็น ถ้าเรามีพื้นฐานด้านจิตวิทยาบ้าง ก็จะดีครับ ศาสตร์ในการปกครอง ไม่ได้เกี่ยวเฉพาะกับรัฐศาสตร์เท่านั้น หรอกครับ แต่เกี่ยวกับ จิตวิทยาเป็นส่วนใหญ่ อาจเริ่มจากไม้อ่อน แล้วค่อยปรับ แข็งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็ดูปฏิกิริยาครับ ถ้าดูแล้วไม่ค่อยดี ก็ต้องใช้ศิลปะการปกครองตามหลักจิตวิทยาแล้วหละครับ ฮะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ 🙂
โห มีแต่ผู้บริหาร เอาผมไปชุบเลี้ยงซักคนเถอะครับ 🙂 กะผมจะทำตัวน่ารัก
ผมขอตัดข้อความนี้มานะครับ ” จะเห็นว่าวิธีการในหลายข้อดูจะโหดร้าย, ทุเรศ และใจดำมาก ๆ “ ใช่ครับ แต่ผมคิดว่าชีวิตจริง ก็เป็นแบบนี้ครับ
โหดร้ายนิด ๆ ครับคุณ PatSonic
คุณสิทธิศักดิ์ได้ทำงานให้กับระบบของตัวเองแล้ว ผมยังต้องทำงานให้ระบบของผู้อื่นอยู่เลย เป็นวิถีที่แตกต่างครับ
ผมยังต้องให้คนที่มีอำนาจเหนือกว่าชุบเลี้ยงอยู่เลยครับคุณจอห์น
ว่าแต่คุณหมีจะตัดข้อความไปใช้ทำไรเนี่ย?
เป็นผม ผมจะมองกลับไปที่ root cause ก่อนว่า ใช่หรือเปล่า แค่เธออาวุโสน้อยกว่า ที่เป็นสาเหตุ?
หลายๆ องค์กรบ้านเราก็ปัญญาอ่อนเยอะครับ เอาคนไม่เป็นงานมาคุมคน โดยอาศัยแค่เหตุผลว่า “จบโทเมืองนอกมา” ประสบการณ์ไม่มี ทำงานจริงๆ ก็ไม่ได้ แล้วใครมันจะไปเชื่อ?
ต่อให้เอาคนที่ว่านอนสอนง่ายมาอยู่ในทีมแทน แต่ถ้าหัวหน้าเป็นคนอย่างนี้ งานก็ยิ่งออกมาเละ เพราะขาดตัวเก๋าไป
มีวิธีมากมายครับที่จะช่วยแสดงว่าคุณอวุโสน้อยกว่าแต่ก็ทำงานเป็น ก็แค่แสดงมันออกมาว่า “ฉันมีดีกว่าจบโทเมืองนอก”
ผมว่ามันมีทุกที่แหละ ไอ้พวกอวุโสน้อยจบโทนอกทำงานไม่เป็น อีกกรณีนึงก็ อวุโสมากอวดรู้แต่เปลือกทำงานไม่เป็นเหมือนกัน สองประเภทนี้ทำบ้านเมือง ิบหายมาเยอะละ
เห็นด้วยกับคุณ deans4j อย่างแรงครับ กำลังจะเข้ามาเขียนพอดี อ่านเจอเข้า ถูกใจครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่า ไม่ว่าคนจะจบตรีหรือโทมา เวลาเริ่มทำงาน น่าจะเริ่มด้วยตำแหน่งเดียวกันหมด หลังจากนั้นใครจะเลื่อนขั้นเร็วกว่าใคร ก็ตัดสินกันที่ฝีมือ คนที่เป็นลูกน้อง ก็ต่อว่าคนที่เป็นหัวหน้าได้ไม่เต็มปาก เพราะวัดกันที่ฝีมือนี่ จะต่อว่าอะไรได้
จะได้พิสูจน์กันไปเลยครับว่า เรียน ป.โท ช่วยให้คนทำงานดีขึ้นหรือไม่ เป็นการเซพคนที่เป็นหัวหน้า และให้โอกาสคนที่เป็นลูกน้องด้วยในตัว
????????? deans4j ??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? “??????????????????????????????????????????????????????????????????????????” ???????????? ??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ???????????????????????????????????????????????????????????? ???????????????????? ??????????????????????????????????????? ????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ?????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ????????????????????????????????????????????????????? ?????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????
????????? bow_der_kleine ???????????????????????????????????????????????????????? ?????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ????????????????????????????????????????????????????? :’-(
อัพไปบ้างแล้วครับ 😀 แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครับ ทั้งงานราษฏร์ งานหลวง
จากที่ไม่มีเวลาอยู่แล้ว ตอนนี้เวลาเลยติดลบครับ ว่าจะเปิดเวลาแกน y อีกสักแกน
จะได้มีพื้นที่บริหารมากขึ้น แต่ก็ไม่มีเวลาเปิดสักที 😛 ( งงไหมครับ มุข recursive -“- )
ทำงาน programming เมืองนอก (based on my experience)
สนใจ
– คุณทำงานให้เค้าได้จริงหรือเปล่า
– มีประสบการณ์หรือเปล่า (เน้น)
– สื่อสารและทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้ไหมไม่สนใจ
– อายุ
– ปริญญา (จบแค่ high school ทำงานได้ เค้าก็รับ)
ลดอคติ กับ สื่อสารกันให้มากขึ้น คงจะช่วยแก้ไขปัญหาไปได้ครับ
????????????????????????????????????????????????????????? ??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ??????????????????????????????????????????????????? Y ????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? 🙂
??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? “?????????????????” ???????????????????????????????????????????????????????? ???????????? :’-<
มิน่าละ เราถึงไม่มีคนแบบ Bill Gates หรืออย่าง Michael Dell
แซวเล่นๆครับ อย่าคิดมาก หวังว่าประเทศไทยคงมี แบบ Larry Page และ Sergey Brin 🙂
เห็นด้วยกับนายแรดครับ
การทำงานก็คือทำงาน
ให้เอางานนำ เรื่องรัฐศาสตร์การปกครองคนก็เพื่อความสงบสุข
แต่ผมคิดว่าเอางานนำ เรื่องคนเรื่องรอง ทนได้ก็ทนไปก่อน
ขอให้งานสำเร็จ คนไทย ชอบใช้อคติ และใช้วิธีการ
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
การทำงาน คือ
1. ความรับผิดชอบเป็นหลัก ต่อเป้าหมายที่ทำได้
2. เป้าหมายอันสูงส่ง
3. ความสามารถ
4. ท้ายสุดคือคน
เรื่องคุณธรรม เป็นเรื่องที่ควรอยู่ในสามัญสำนึกของทุกคน ให้ถือว่าทุกคนมีจริยธรรมไว้ก่อน เพื่อลดอคติ
ส่วนอนาคตต้องใช้เวลาพิสูจน์ ความจริงของชีวิตคือ
ความรู้อาจตามกันทันหมด ชั่วดีกระด้าง….
และ กรรมเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้นแลครับ
เราทุกคนมีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล …. อือม ๆ ถึงกับต้องฆ่าก็น่าเสียดายอยู่
อืม…
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล หมายความว่า …บางคนที่ทำอย่างนั้นนะครับ ไม่ได้หมายถึงผมเด้อ
ขออนุญาตสาธยายเด้อ
ผมมีความคิดตรงกับคุณแรดว่า หากมีความเห็นไม่ตรงกับท่านใด ก็ขออำภัย
ข้อย้ำว่า
งานก็คืองาน ผมไม่ค่อยสนเรื่องคน
อาจหมั่นใส้กันได้บ้างก็เรื่องธรรมดาของมนุษย์
แต่ก็เป็นเรื่องงานก็ต้องเอาคนเก่งครับ เพื่อเป้าหมาย
ถ้าเก่งและดีด้วยก็ยิ่งดี บางคนเก่ง แต่ก้าวร้าว เราก็คบกับเขาได้
เพราะเขาก็ช่วยงานเราได้ แต่เรื่องการทำงานจริงๆ ไม่มีใครเก่งทุกอย่างหรอก
เขาก็ควรต้องให้ความเคารพหน.ด้วย
แต่ถ้าเขาเก่งกว่า ก็ต้องยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง หรือเป็นนาย
ต้องถามตัวเองว่า เรามีชีวิตอยูไปเพื่ออะไร เราทำอะไรให้ใครบ้าง
ถ้าเขามีประโยชน์เราก็ต้องส่งเสริม ขอย้ำว่า เรื่องคุณธรรมเป็นเรื่องทีควรมีอยู่ในหัวใจของทุกคนอยู่แล้ว
เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ที่ใช้ทำร้ายกัน สักวันผลของกรรมก็ต้องตอบสนอง
ไม่ว่ากรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม
อาวุโส ของผม หมายถึง ความอาวุโสทางปัญญา วุฒิภาวะ
คนเอเซียมัก คิดว่า อาวุโส คือ อายุมาก
ขอนำคำกล่าวของปราชญ์ ท่านนึง ซึ่งผมได้ขอรวบรัดสั้นๆ ว่า
อาวุโส หมายถึง ผู้ที่มีความคิดดี ทำดี และมีความสามารถดี
บางคนอายุมาก แต่ปฏิบัติตนไม่น่าเคารพ ก็ไม่ถือว่าอาวุโส
แต่เด็กบางคน ปฏิบัติดี น่าเคารพ ก็ถือว่าอาวุโส
ดังนั้น การนับถือกัน ควรดูที่ ความสามารถ ความดี และการกระทำที่ดี
ทุกคนมีจุดดีจุดด้อย ต้องเข้าใจกัน ถ้าทำงานอย่างมีความรัก ความเข้าใจกัน ก็ย่อมอยู่ได้
ความเก่ง ก็สำคัญ จะเอาแต่หลักปกครอง แต่ไม่มีคนมีความสามารถก็ไม่ได้
เพราะเราทำงานต้องให้งานนำ
“ให้ทำงานเพื่องาน ทำงานให้ถูกต้อง ให้ตรง ไม่ใช่ทำงานเพื่อเอาใจคน หรือเอาใจใคร”
อันนี้เป็นคำสอนของพระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้เทวทัตผู้ปองร้ายเรา เรายังปฏิบัติเสมอกับราหุลผู้เป็นบุตรเรา
อยากให้เราทุกๆคน ลดทิฐิมานะลง แล้วเราทุกๆท่าน ก็จะอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความดี
ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนดีมากหรอกเด้อ
แต่แค่เป็นมุมมองความคิดของ บุคคลที่ยังเป็นบัวใต้น้ำ ที่พยายามอยากพ้นน้ำแค่นั้นเองครับ
ยังเป็นบุคคลธรรมดา มีรักโลภ โกรธหลง
เชื่อว่าทำดีต้องได้ดี กรรมส่งผล และกรรมมีจริง
ครับผม
บุญรักษาครับ
ชีวิตมัน drama ครับ
ขอคาราวะท่านละจอกเลยครับ ต่างคนก็ต่างมีความคิด วิธีแก้ที่แตกต่างกัน เมื่อเอามาผสมผสานกัน ก็จะได้วิธีที่ดีที่สุด เหมือนกับการทำ storm brain เลยนะครับ กระทู้นี้
เครียด เครียด กิน……!!!
ที่กล่าวกันมาทั้งหมด เป็นBrain Storm เรื่องการปกครองลูกน้องใช่มั้ยครับ คือผมในฐานะลูกน้องเลยอยากจะถามถึง การปกครองหัวหน้าทางอ้อมอ่ะครับ คือส่วนกลับของสิ่งที่พี่ๆคุยกันมาทั้งหมดอ่ะครับ พี่ๆพอจะมีIDea อะไรมาสอนผมทั้งมั้ยครับ
ปกครองตนให้ได้ก่อน
การปกครองหัวหน้าทางอ้อมสามารถทำได้ครับคุณ Znes โดยการส่งมอบงานที่ตรงกับอำนาจหน้าที่ให้กับหัวหน้า
ปรกติแล้วเวลาหัวหน้าให้งานเรามา จะให้แบบเหมาจ่าย ดังนั้นเมื่อเราได้รับมาแล้ว เราก็คัดเอาเฉพาะที่เราทำได้ออกมาครับ ส่วนอันไหนที่เราทำไม่ได้เพราะเกินอำนาจหน้าที่ก็ส่งคืนหัวหน้าไป เช่น ถ้างานดังกล่าวต้องมีการติดต่อขออนุมัติจากผู้ใหญ่ ก็ส่งให้หัวหน้าไปจัดการ, ถ้างานดังกล่าวต้องประสานงานกับไอทีด้วยกันเอง แต่เป็นไอทีคนล่ะหน่วย ก็มอบให้หัวหน้าไปจัดการครับ
พี่ไท้ถือว่าเป็นกูรูด้าน project management เลยนะเนี่ย เป็น skill ที่เมืองไทยขาดแคลน
ผมขี้โม้ครับท่านสุมาอี้ บางอย่างก็เชื่อไม่ได้หรอก ^o^
ปิดอบรมหลักสูตร
ASP.NET 30 ชั่วโมง 5 วัน ราคา 8,900-
VB.NET 30 ชั่วโมง 5 วัน ราคา 8,900-
SQL2005, 30 ชั่วโมง 5 วัน ราคา 8,900 –
Ajax 18 ชั่วโมง 3 วัน ราคา 4,900 –
Crystal Report 18Hr. 3 วัน ราคา 4,900 –
Flash Design 18Hr3 วัน ราคา 4,900 –
Web Design 18Hr 3 วัน ราคา 4,900 –
Windows Mobile 18Hr 3 วัน ราคา 4,900 –
Web Graphic 18Hr 3 วัน ราคา 4,900 –
ท่านใดสนใจอบรมกับทางบริษัทเข้าที่เว็บไซต์ http://www.g2g.co.th/registerA.php
เพื่อสมัครสำรองที่นั่งกับทางบริษัท จีทูจี จำกัด และทางบริษัทจะส่งตารางการอบรมให้ท่านอีกครั้งหนึ่ง
ใช้วิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง ใช้ไม่ได้ทุกกรณีหรอกครับ โดยเฉพาะกรณีที่คุณพี่ไท้เล่าให้ฟังอยู่ ผมเป็น IT Manager อยู่ครับ ไม่เคยใช้วิธีนี้ครับ คิดง่ายๆสมมุติคุณต้องการแยกใครซักคนออกจากทีม ถ้าคนนั้นไม่เก่ง ทำได้ครับ แต่ไม่ใช่วิธีการที่ดี แต่ถ้าคนที่คุณจะตัดออกจากทีม เป็นคนที่เก่ง หรือผู้บุกเบิกยุกแรกๆ ผมว่าเจ้านายคงไม่แฮปปี้ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมทีม คงยิ่งต่อต้านคุณเข้าไปอีก ถ้าคุณอยากให้ทีมงานเชื่อฟัง เชื่อมั่นในตัวคุณอย่าไปแก้ที่จุดอื่น แก้ที่ตัวคุณดีกว่าครับ ถ้าคุณเก่งจริง ทีมงานที่ไหนจะไม่เชื่อคุณ แล้วอีกอย่าง SA ไม่ใช่หัวหน้านะครับ เป็นแค่คนวางระบบเฉยๆ ต้องอย่าลืมข้อนี้ด้วย (คนที่เป็นโปรแกรมเมอร์เขาก็เรียน SA และเป็น SA ได้ครับ ดังนั้นคนที่เป็น SA ต้องฉีกส่วนนี้ให้กระจุย อย่าให้เขาเห็นว่างานที่เราออกแบบนั้นไม่ดีพอ) ถ้าคุณไม่เก่งจริงยังไงต่อไปซะคุณคงต้องใช้วิธีแบ่งแยกแล้วปกครองไปเรื่อยๆหล่ะครับ
เ่อ พี่ไท้ ไหงไม่เข้ามาออกความเห็นอะไรมั้ง ผมเปิดมารออ่านทุกวัน อยากฟังความคิดเห็นท่านพี่ไท้ผู้เก่งกล้า(55)
ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 24 แต่ติดนิดหน่อย ตรงที่ว่าบางอย่างก็เชื่อไม่ได้ จริงๆน่าจะบอกว่า ส่วนมาก ถึงจะถูกครับ
สุดยอดครับบทความนี้ ชอบมาก ๆ เลย
ตรงใจสุด ๆ
ขอรับไปเก็บไว้นะท่าน
มานั่งไล่อ่านตอนหลัง ขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับพี่
บทความความของพี่มันตรงกับสิ่งที่ผมตัดสินใจทำไปเมื่อหกปีที่แล้ว ตอนเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆครับ ทีมงามสิบกว่าชีวิตที่ผมต้องมาดูแล ไม่ธรรมดาซักคนครับ ผมทำแบบที่พี่แนะนำน้องผู้หญิงครับ จัดการลดระดับอำนาจของหัวโจก พลักดันคนอื่นแทนที่ ผมใช้เวลาประมาณสามเดือน(มากไปไหมเนี่ย) ทุกอย่างอยุ่ในกำมือ หุหุหุ แต่ความรู้สึกตัวเองไม่อยากทำแต่ต้องทำครับ โหดนิดๆ
อ่านแล้วตรงกับตัวเองเหมือนกันครับ เมื่อ 3 ปีก่อน แต่ผมเป็นโคถึกที่ถูกเขาฆ่า
ผมเป็น chief of developer ทำงานกับบริษัทตั้งแต่เริ่มตั้งแผนกไอที จนกระทั่งแผนกไอทีแยกตัวออกมาตั้งเป็นบริษัทซอฟแวร์ได้
ด้วยความที่ทำงาน coding มานาน ทำให้เป็นคนพูดน้อย นั้งวนลูปอยู่หน้าจอทั้งวันมาหลายปี แม้จะเป็นคนคุมโปรเจค
คอยแจกงานให้ทีม แล้วยังคงเขียนโปรแกรมส่วนที่ยากๆเองเสมอ โลโปรไฟครับ
ทีนี้บริษัทรับ SA ผู้หญิงอายุน้อย แต่เรียนจบสูง ตรีวิศวะไฟฟ้า โทบริหารไอที บุคลิกดี พูดจาน่าเชื่อถือ
เข้ามา เหมือนว่าจะให้ทำหน้าที่ตามเซล ออกไปเก็บข้อมูลลูกค้า เคลียงานกับลูกค้าประมาณนั้น
แต่เขาไม่เก่งคอม ออกแบบหน้าตาโปรแกรมด้วย Excel ครับ ใช้โปรแกรมอื่นไม่เป็น
ทำ diagram อะไรไม่เป็นเลย เรื่องฐานข้อมูลก็ไม่เป็น
ไอ้เราเห็นว่าเด็กมันไม่เป็นงาน ก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไร ค่อยๆสอน ค่อยๆ ช่วยกันไป เหมือนกับที่เคย
สอนงานน้องๆทุกคนในทีมนั่นแหละครับ
หลังจากที่งานโปรเจกแรกเสร็จไปแล้วเขาก็เริ่มรู้งานขึ้น พอเริ่มโปรเจกสองเขามีความเชื่อมั่น
และต้องการจะสร้างผลงาน พิสูจน์ตัวเอง เริ่มยึดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เริ่มไม่ฟังความเห็นของผม
เริ่มขัดแย้งกันทางด้านการออกแบบโปรแกรมบ่อยๆขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเขามองฐานข้อมูลไม่เคลียร์
ทำให้โปรแกรมเมอร์ ต้องแก้ไขงานกันหลายรอบ และเวลาโต้แย้งกัน เขาจะท้วงลูกไปสั่งงานโปรแกรมเมอร์โดยตรง
เวลางานมีปัญหาก็โยนความผิดให้คนอื่น ทั้งๆที่เกิดจากการออกแบบผิดพลาดของตัวเองแท้ๆ
ไม่รู้ว่า SA กับหัวหน้าโปรแกรมเมอร์ ตำแหน่งใครสูงกว่าล่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าในสายตาผู้บริหารจะมองว่า
SA เป็นหัวหน้าทีม และเขาออกไปพบลูกค้ากับผู้บริหารบ่อยจนสนิทกัน
ผู้บริหารสั่งงาน SA โดยตรง SA สั่งโปรแกรมเมอร์โดยตรง
chief of developer คนนี้ก็หมดอำนาจครับ อึดอัด รีบชิงลาออก เพื่อรักษาศักศรี
โปรแกรมเมอร์ที่ไม่ยอม SA ก็ลาออก ไม่ออกก็ถูกบีบให้เสียเกียรติล่ะครับ
โปรแกรมเมอร์อ่อนที่ SA สัมภาษเอง กับโปรแกรมเมอร์ยอมประจบ SA ถึงจะอยู่ได้
บทสรุปสุดท้าย – chief of developer กลายเป็นโปรแกรมเมอร์แก่ที่หางานทำไม่ได้เนื่องจากอายุเกิน 30
– SA เสพสุขในอาณาจักรตัวเองได้เป็นเวลาหกเดือน ก็ลาออกเนื่องจากทนความกดดันจากปัญหาสารพัด สารพัน
ในการทำซอฟแวร์ไม่ได้ และคุมโปรแกรมเมอร์ไม่อยู่ เนื่องจากเขียนโปรแกรมเองไม่เป็น
-โปรแกรมเมอร์ที่ยอมประจบ SA ก้าวขึ้นมาเป็น chief of developer
ไม่ต้องห่วงครับ Programmer เขาเป็น SA ได้อยู่แล้วครับ เพราะหลักสูตรวิทย์คอม เขาวางระบบให้คนที่จบมาเป็น SA อยู่แล้วครับ
ขอขอบคุณในการให้ความรู้กับผู้ที่ไม่รู้ครับ
และขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองของเรา
การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้นเวลานี้ การเจรจา
จะไม่่ใช่วิธีที่จะใช้ในขณะนี้เพราะทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีเจตนาที่จะเจรจาต่อกัน การรักษาบ้านเมมืองนี้จึงอยู่ที่ความสามารถของ ฝา่ยบริหารบ้านเมือง
ผมเคยมีประสบการณืไปดูงานเป็นลูกน้องฝรั่งที่อังกฤษได้ 3-4 เดือน
ทำงานกันเป็นทีมดูแลแต่ละโปรเจ็ค มีการผลัดเปลี่่ยนกันเป็นหัวหน้าโปรเจ็ค โดยไม่ได้ยึดติดกับหัวโขน น่าทึ่งมาก
พอผมกลับมาทำงานตามปกติแล้วมาเจอสังคมแบบนี้ก็มีเพลียใจ
กับสังคมเดิมๆแบบบ้านๆของเรา