อะไรกันหนอคือ Holy Grail อืม ๆ สำหรับคนที่นับถือศาสนาพุทธจะไม่รู้จักมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สำหรับชาวคริสต์น่าจะรู้จักสิ่งนี้ดี เพราะมันเป็นสิ่งที่มีการกล่าวถึงในตำนานของศาสนาคริสต์ มันเป็นภาชนะที่ใส่อาหารมื้อสุดท้ายของเยซูคริสต์ ก่อนที่เยซูคริสต์จะถูกตรึงบนไม้กางเขน คิดว่าข้อมูลตรงนี้คงไม่ผิดนะ

ทีนี้ผมจะเล่าอะไรล่ะเนี่ย? อ้อ ผมจะเล่าว่าเจ้า Holy Grail นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะบ้างก็บอกว่ามันเป็นจาน บ้างก็ว่ามันเป็นชาม แต่ที่นิยมมากที่สุดคงจะบอกว่ามันเป็นถ้วย โดยบางตำนานบอกว่ามันเป็นถ้วยที่ใช้รองเลือดของเยซูคริสต์ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเอาเรื่องนี้มาผูกเรื่องเป็นภาพยนต์หรือละครหรือแม้แต่การ์ตูน ก็จะเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า “จอกศักดิ์สิทธิ์” เป็นสมบัติล้ำค่า ใครที่ได้ครอบครองมันก็จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีลาภ มียศ ได้สรรเสริญ สุดพรรณา (ภาพยนต์เรื่อง The Da Vinci Code มีการนิยาม Holy Grail ไปเป็นอีกเรื่องนึง แต่อันนั้นมันนวนิยายครับ)

ดังนั้น Holy Grail จึงมีความหมายทางอ้อมถึงสิ่งอันทรงคุณค่า ศักดิ์สิทธิ์ และมีชิ้นเดียวในโลก ซึ่งจะมอบความยิ่งใหญ่ให้ได้นั่นเอง

แล้วพูดเรื่องนี้ทำไม? พอดีจะเล่าให้อ่านกันว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนที่ผมเข้าไปซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใหม่ ๆ หรือที่คนทั่วไปเค้าเรียกว่า “เล่นหุ้น” นั้น ผมเข้าไปในลักษณะของนักเก็งกำไร คือให้ความสนใจกับราคาหุ้นเป็นหลัก ไม่ได้สนใจพื้นฐานของหุ้น เพราะตอนนั้นวัดมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมไม่เป็น ไม่รู้จะวัดไง ก็เลยลุ้นกับราคาหุ้นอย่างเดียว

ลักษณะเด่นของนักเก็งกำไรหุ้นก็คือ ใช้จังหวะการเข้าซื้อขายที่รวดเร็ว หวังผลระยะสั้นแค่ได้ผลตอบแทนวันล่ะ 1% จากเงินลงทุนก็ o.k. แล้ว และที่สำคัญลูกตาต้องไวมาก แค่เห็นมีการซื้อขายที่ผิดปรกติก็ต้องนกรู้เข้าออกรวดเร็วทันที แถมต้องหูผีจมูกมด ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมือง, เศรษฐกิจสังคม และเศรษฐกิจโลกอยู่ตลอดเวลา

ตอนนั้นผมทำได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะได้ผลตอบแทนจากการเก็งกำไรที่ 10% ของเงินลงทุนต่อเดือน ซึ่งถึงแม้เงินที่ได้จะมากพอ ๆ กับเงินเดือนผู้จัดการ แต่มันก็ทำให้สม่ำเสมอไม่ได้ทุกเดือน ด้วยเหตุผลเพราะว่าในตลาดหลักทรัพย์ฯมีหุ้นถึง 300 กว่าตัว แถมมีใบจองหุ้นอีกเป็น 100 ราคาวิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลา ใครจะหูตาเป็นสัปปะรดได้ขนาดนั้นเล่าป้าดโธ่

ตอนนั้นผมเลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า เอ้อ ถ้าผมสามารถสร้าง software ขึ้นมาตัวนึงแล้วให้มันต่อเชื่อมกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ผมเป็นลูกค้าได้ก็คงดี โดยผมคาดหวังเอาไว้ว่ามันจะประมวลผลข้อมูลทุกอย่าง แล้วก็บอกกับผมว่าควรซื้อตัวไหนควรขายตัวไหนเป็นต้น

ทีนี้ผมไม่คิดเฉย ๆ ครับ ผมนำความคิดของผมเข้าไปถามที่โต๊ะสินธร ใน http://www.pantip.com/ ด้วยว่ามันมีความเป็นไปได้มั้ย ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาว่าสิ่งที่ผมต้องการจะทำนั้น มันไม่ต่างจาก Search Of Holy Grail หรือการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียง 1 เดียวในตำนานเลย

ผมยังเก็บกระทู้ที่ผมเป็นผู้ตั้งไว้ตอนนั้นเอาไว้อยู่ครับ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่กระทู้ผมถูก vote เป็นกระทู้แนะนำ แถมเป็นการ vote ในห้องสินธรซะด้วย ซึ่งในนั้นเขาคุยกันเรื่องหุ้น ไม่ได้คุยเรื่อง software

สามารถกดที่รูปภาพเพื่อเอาไปอ่านเล่นแก้เซ็งได้ครับ ผมกลับไปอ่านแล้วยังรู้สึกเลยว่ามีหลายประโยคที่ผมแสดงความโง่ออกมาเยอะแยะเลย 🙂

topics.jpg

ป.ล. ปัจจุบันผมเปลี่ยนจากนักเก็งกำไรหุ้น มาเป็นนักลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่าแล้วครับ รู้สึกชีวิตผาสุขขึ้นมากเลยล่ะ

[tags]search of holy grail,หุ้น,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย[/tags]

Related Posts

10 thoughts on “Search Of Holy Grail

  1. น่าสนใจจริงๆ ข้อเขียนวันนี้ โยงเอา โฮลี่เกรล กับการเล่นหุ้น เข้ามาเกี่ยวกันได้ซะงั้น

    นับถือๆ

  2. หาโฮลี่เกรลเจอ ก็คงได้รับพลังจากพระเจ้าประมาณนั้นมั้งครับ
    พลังในยุคนี้ก็คงไม่พ้นเงินล่ะครับ ผมว่าน่ะ

  3. ขอบคุณครับ ตั้งใจจะเขียนเรื่อง ที่จัด category ไม่ได้ เลยใส่ conversation ลืม categorize ให้เป็น idiom ด้วย ขอบคุณครับที่เตือนสติ(ไม่งั้นคงคิดสั้นไปแล้ว อิอิ)

    เรื่องของเรื่องคือ เขียนให้ google ok ตาม TOS เลย มั่วๆหน่อย ต้องตั้งหัวข้อเป็นภาษาอังกฤษทั้งๆที่อยากทำเป็นไทย เขาให้ทำแบบนี้ได้ก็บุญแล้ว

  4. มีข้อสังเกตว่า คนเล่นหุ้นมักจะมาทำ adsense แต่คนทำ adsense อาจจะไม่เล่นหุ้นแบบผม อิอิ เห็นเพื่อนมันหมดเงินไปเยอะกับการเล่นหุ้น(ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย) เลยไม่เคยคิดจะเล่นครับ ไว้เงินเยอะๆค่อยเอามาเสี่ยง จากข่าวของ insider (ประมาณแม่บ้านรัฐมนตรี ประมาณนี้)

  5. ผมเป็นเซียนทางการโม้น่ะครับคุณ Patsonic ของแบบนี้ผูกส่งเดชได้อยู่แล้วครับ

    แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามีอภิมหาเศรษฐีคนไหนเก็บมันไว้เหมือนกันแฮะคุณ memtest

    เรื่องแม่บ้านรัฐมนตรีคือนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้น เป็นเรื่องที่คนเล่นหุ้นพูดกันมานานแล้วครับคุณ BigNose

  6. เชื่อได้อย่างไรว่าไบเบิ้ลเป็นความจริงทั้งหมด และการตีความมักตีความแบบทื่อๆ จึงไม่รู้สัจธรรมกันแม้แต่พวกที่ถือว่าตัวเองเคร่งศาสนา

  7. เรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องใช้ศรัทธาครับ ยิ่งกว่าความเชื่อซะอีก ทีนี้ผมอ่อนแอทางศาสนาครับ จึงมิขอมีความคิดเห็นใด ๆ ทั้งสิ้นเด้อออออ 🙂

    มุขไม่ซ้ำหรอกคุณ BigNose ของแบบนี้เอามาพูดบ่อย ๆ จะได้จำกันได้

  8. ในใบเบิ้ล คนโบราณเขาเขียนเอาไว้ต้องเอามาตีความด้วย อดัมกับอีฟกินแอปเปิ้ลแล้วโดนพระเจ้าไล่ลงมาจากสวรรค์ หมายถึงการที่มนุษย์ รู้จักตัวตน คือคิดได้ว่าฉัน นี่ตัวฉัน นี่ของฉัน เลยต้องเป็นทุกข์คือโดนพระเจ้าไล่ลงมาจากสวรรค์เพราะความที่ตัวเองมีบาป คือ การที่มนุษย์รู้สึกว่ามีตัวกูของกู ถ้าไปตีความทีื่อๆว่า พระเจ้าไล่อดัมเพราะไปขโมยแอปเปิ้ลแบบทื่อๆ มันก็ไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้รู้สัจธรรม หรือธรรมะที่ซ่อนอยู่ในใบเบิ้ล และจะเห็นได้ว่าศาสนาทุกศาสนามีมุมที่เหลื่อมกันอยู่มุ่งไปที่จุดเดียวกันคือสันติภาพ หากตีความด้วยสัมมาทิฐถิ อย่าปักใจเชื่อเพราะ คนพูดเป็นอาจารย์ แต่จงใช้ปัญญาแสวงหาความจริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *