วิธีขึ้นเงินเดือนโปรแกรมเมอร์ ตามแบบฉบับนายทุน

ผมจะสมมติว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ครับ บริษัทของผมตั้งขึ้นเพื่อทำมาหากินอะไรก็ได้ ขอแค่ให้ใช้โปรแกรมเมอร์ทำมาหากินให้ผมได้เป็นพอ

เนื่องจากผมจนครับ ผมเลยจ้างโปรแกรมเมอร์ได้ 5 ตำแหน่งดังตารางข้างล่าง

รายชื่อโปรแกรมเมอร์ของบริษัท

จะเห็นว่าผมต้องจ่ายเงินเดือนให้กับโปรแกรมเมอร์ของผม 86,000 บาทต่อเดือน ซึ่งความหมายง่าย ๆ ก็คือ ผมต้องใช้โปรแกรมเมอร์ 6 คนนี้ให้ทำงานให้ผมทุกวิถีทาง เพื่อจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทของผมได้มากพอที่บริษัทของผมจะไม่เจ๊ง ซึ่งรายได้ที่ควรทำได้ก็ควรมากกว่า 86,000 บาทต่อเดือน บวกกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของบริษัทด้วย!!!

ผมชอบพนักงานที่ชื่อนางสาวจริงใจมาก ๆ เลยนะ เพราะนอกจากเธอจะเป็นคนจริงใจแล้ว เธอยังชอบทำงานอีกด้วย ผมก็เลยให้งานเธอเยอะกว่าใคร ๆ เลย แต่บังเอิญว่าเธอเป็นพนักงานคนแรกของบริษัทที่ผมรับเข้ามา ผมขี้เหนียวคิดแต่จะเอาเปรียบพนักงาน ผมก็เลยต่อเงินเดือนเธอจนน้อยกว่าใคร ๆ

ให้หลังไม่นานนักพอนางสาวจริงใจเริ่มสนิทกับนางสาวน่ารัก นางสาวน่ารักก็ทำตัวไม่น่ารักครับ เพราะเธอดันพลั้งปากบอกเงินเดือนของตัวเองให้นางสาวจริงใจรู้ นางสาวจริงใจก็เลยเซ็งเป็ด ลาออกจากบริษัทผมเลย โดยที่ผมเองก็ไม่รู้จะรั้งเธอไว้ยังไงดี เพราะผมเองก็ไม่คิดจะขึ้นเงินเดือนให้เธออยู่แล้ว ขืนขึ้นเงินเดือนให้เธออีก ผมคงขาดทุนไส้ปลิ้นจนต้องเดินไปเย็บไส้ที่ธนาคารเป็นแน่แท้ เพราะตอนนี้ค่าใช้จ่ายมันก็ท่วมรายได้จะแย่อยู่แล้ว!!!

ผมจึงตัดสินใจเรียกนายวินัยเข้ามาคุยด้วยครับ โดยบอกให้นายวินัยรู้ว่าเค้าต้องรับงานของนางสาวจริงใจไปทำทั้งหมด ซึ่งพอนายวินัยรู้ก็หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด อิดออดอ้อมแอ้ม เซ็งเป็ดไปอีกราย

พอเห็นแบบนี้ผมเลยงัดไม้ตายออกมา ผมบอกกับนายวินัยว่าผมไม่คิดเอาเปรียบ ผมจะขึ้นเงินเดือนให้นายวินัยอีก 3,000 บาท ขอให้ช่วยรับงานไปทำก่อน แล้วผมจะรีบรับคนใหม่เข้ามาทำให้เร็วที่สุด

รายชื่อโปรแกรมเมอร์หลังจากมีคนลาออก

คิดว่านายวินัยคงเงินตึงมือ และก็คงยังไม่รู้จะไปที่ไหนดี ก็เลยยอมรับที่จะทำงานเพิ่ม โดยแลกกับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอีก 3,000 บาทที่ผมหยิบยื่นให้

ผมคอยสังเกตนายวินัยอยู่ตลอด ว่าเขาพอจะทำงานไหวมั้ย แล้วผมก็พบว่าช่วงแรกเขาดูเครียดน่าดู แต่หลังจากนั้นเขาก็ทำงานทั้งหมดได้โดยไม่มีปัญหาอะไร เขาได้กลายเป็น “กบ” ที่ถูก “ต้ม” อยู่ในหม้อ จนไม่รู้ตัวแล้วว่าน้ำในหม้อนั้นมัน “ร้อน” แค่ไหน เขา “ชิน” ไปแล้ว

หลังจากนั้นผมก็ทำไก๋ไม่จ้างคนเพิ่ม … ผมรู้สึกพึงพอใจมาก เพราะงานทั้งหมด 18 งานก็ยังมีคนทำอยู่เหมือนเดิม ในขณะที่ผมสามารถจะลดต้นทุนเงินเดือนจาก 86,000 ต่อเดือนให้เหลือ 74,000 บาทต่อเดือนได้อีกต่างหาก

สุดท้ายผมก็เห็นว่าผมมีเงินเหลือพอที่จะจ้างโปรแกรมเมอร์คนใหม่ได้แล้ว ดีจริง ๆ ผมยังเหลือเงินอีก 12,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นส่วนต่างแรงงานที่ผม “กิน” มาได้ แล้วผมก็คิดว่าจะบวกเข้าไปอีก 5,000 บาท เพื่อจะจ้างโปรแกรมเมอร์คนใหม่ที่ราคา 17,000 บาท

แต่ไม่ได้จ้างมาเพื่อแบ่งงานจากนายวินัยหรอกนะ ผมจ้างมาเพื่อมารับงานใหม่อีก 5 – 6 งานต่างหาก ฮา กำไร ๆ 😛

แก่นแท้หลักของทุนนิยม คือการกินส่วนเกินแรงงานจากชนชั้นแรงงานนั่นเอง

ป.ล. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น อย่าเห็นว่าผมเป็นคนเลวนะ ผมป่าวจ้า 😛

[tags]การจัดการ,เงินเดือน,โปรแกรมเมอร์,นายทุน,คอมพิวเตอร์,ซอฟต์แวร์[/tags]

Related Posts

39 thoughts on “วิธีขึ้นเงินเดือนโปรแกรมเมอร์ ตามแบบฉบับนายทุน

  1. โอ้ยๆอ่านแล้วน้ำตาจะไหลครับ สงสารนายวินัย ขยันจริงๆ
    แต่ก็ยังไงก็ช่วยไม่ได้โลกกำลังหมุนไปในทิศทางนี้กันหมดแล้ว นายทุนก็ต้องการลดต้นทุนของตัวเองให้มากที่สุดส่วนทางลูกน้องก็ต้องการผลตอบแทนที่มากที่สุดเช่นกัน
    แต่ผมดูท่าแล้วกบอย่างนายวินัยกำลังหาทางออกจากจากกระทะใบนี้ในไม่ช้าน่ะครับ อาจจะรอให้สำเร็จวิชาหนังทองแดงเสียก่อน อิอิอิ

    บล๊อกของวันนี้พี่ไท้เขียนได้ดีมากเลยครับ(ไม่ใช่วันอื่นไม่ดีน่ะ) ภาษาที่ใช้อ่านง่ายและสนุกเหมือนกำลังฟังนิทานของนายทุนกับโปรแกรมเมอร์

    ปล.ถ้ามีโอกาศพี่ไท้ช่วยเล่าถึงบริษัทในฝันของพี่ไท้ให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ
    -ภาคโปรแกรมเมอร์
    -ภาคผู้บริหาร

  2. หายไปหลายวันไม่ได้มาอ่าน

    เนตเสีย ไฟดับ แอบเซ็งไปหลายวันเลย

    อ่านสนุกจิงๆ ด้วยคับ พี่ memtest

    ชอบเข้ามาอ่าน ได้ความรู้ด้วย

    ถ้าได้ทำบริษัท พี่ไท้ คงแย่ ใช้งานคุ้มดี

    555

  3. ทำไมรู้สึกเหมือนผมเป็นวินัย

    เหอๆ

    ปล นายวินัยต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ขยันจริง(อึดด้วย)”

  4. ตอนแรก เหมือนวินัยจะน่าสงสาร เหมือนนายทุนจะใจร้าย
    แต่…สรรพสิ่งมีสองด้านเสมอ
    แม้แต่เรื่องที่แย่ที่สุด ก็จะมีด้านที่ดีให้เรามองได้

    ในวันนี้ นายวินัยอาจจะเหนื่อยมากขึ้น (แถมตังค์ขึ้นนิดเดียว ;o )
    แ่ต่!จากจุดนี้แหละจะทำให้เขาแกร่งขึ้น และก้าวต่อไปในวันข้างหน้า
    เขาจะได้มากกว่า 19000 ที่เขาได้รับตอนนี้อีกหลายเท่า…แน่นอน!

    ส่วนนายทุน เขาก็ไม่ได้ใจร้ายหรอกนะ…
    สิ่งนี้จะเป้นการเปิดโอกาสให้วินัยได้พัฒนา
    และท้าทายความสามารถ (challeng) ของเขา
    ซึ่งก็จะช่วยให้นายวินัยเก่งขึ้น และองค์กรได้พัฒนามากขึ้น
    นายทุน….ได้บุญนะเนี่ย ;p

    ปล.แต่ตอนปรับฐานเงินเดือนหรือให้โบนัสก็พิจารณาเขานิดนึงนะคะ
    (จะได้เป็นขวัญและกำลังใจ …เนอะ ! 😀 )

  5. ใส่หมวกนายทุนตอบครับ

    บริษัทพี่ไท้ อย่าลืมคิดเผื่อ

    1. วันดีคืนดี งานไม่เข้า จาก 18 งาน เหลือ 0 งาน
    จะทำอย่างไรกับ programmer ที่จ้างมา

    2. งานเข้าครับทั้ง 18 งาน พร้อมกับที่รับเพิ่ม 5 งานด้วย
    แต่ปรากฏว่า
    2.1 ลูกค้าไม่จ่ายตัง บังเอิญเจอลูกค้าเขี้ยวลากดิน ด้วยสาเหตุใด ๆ ทั้งปวง
    2.2 ลูกค้าไม่มีตังค์จ่าย เพราะเป็นงานจ้างช่วง และเค้าเองก็ยังไม่ได้ตังค์เหมือนกัน

    “แก่นแท้หลักของทุนนิยม​ ​คือการกิน​ส่วน​เกินผลต่างจากการบริหารความเสี่ยง”

  6. ผมเคยอ่านจากที่ไหนซักที่ (ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านจากหนังสือของคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์รึเปล่า) บอกว่ามนุษย์เป็นเครื่องจักรอย่างเดียวที่ให้ output มากกว่า input พออ่านสรุปเรื่องนี้แล้วนึกถึงขึ้นมาได้ทันทีน่ะครับ 🙂

  7. บริษัทในฝัน อือม … จริง ๆ ผมชอบเป็นนักลงทุนมาก ๆ เลยครับ ผมชอบใช้ทรัพย์สินของผม สร้างความมั่งคั่งให้กับผมมากกว่า การตั้งบริษัทมันหมายถึงการใช้คนอื่นสร้างความมั่งคั่งให้กับผมอ่ะครับ ผมไม่ชอบซักเท่าไหร่

    ม่ายช่ายบริษัทของผมซักกะหน่อยคุณ next ผมแต่งขึ้นมาเฉย ๆ อิ อิ 😛

    T-T นามสกุลมีวงเล็บด้วยเหรอคุณ patr

    ป่าวครับคุณ Rerngrit มันเป็นจินตนาการล้วน ๆ ครับ อิ อิ 😛

    ป.ล. ซะเหมือนกับเป็นเรื่องจริงเลยนะเนี่ยคุณ ch_ai

    ผมชอบความหมาย “แก่นแท้หลักของทุนนิยม” ที่คุณ kim นิยามเอาไว้มาก ๆ เลยครับ เพราะมันเป็น superset ของแก่นแท้หลักจริง ๆ … เพราะที่ผมให้ความหมายเอาไว้นั้น มันเจาะจงเฉพาะธุรกิจที่ใช้แรงงานเท่านั้นเอง ยังไม่ได้นับธุรกิจบริหารความเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย

    อ๋า ท่านสุมาอี้เองก็มีเขียนอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ยคุณ m3rLinEz ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ

    ง่า ภาษาอังกฤษเลยเหรอคุณ wat T-T แปลหน่อยดิแปล

    เป็นผม ๆ ก็ไม่ใจร้ายเหมือนกันนาคุณ DominixZ อิ อิ 😛

    สงสารผมใช่ม้าคุณ pete หุ ๆ ^o^

  8. ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหล่ะครับ บริษัททำให้เงินเดือนเป็นความลับ เพราะมันคือสิ่งที่ไม่แฟร์ที่สุด 🙁

  9. เสร็จแล้วนายวินัย ก็อดคิดไม่ได้ว่า
    “ได้เพิ่ม 3 พัน แต่ต้องทำงานเท่ากับคน เงินเดือน 1.5 หมื่น”
    “แล้วส่วนต่างหายไปไหน?”
    “เค้าควรจะได้เพิ่มแค่ 3 พันจริง หรือ?”
    ต่อมา
    นายวินัย ก็ทำงานได้ไม่ครบ เพราะตัวเองเห็นว่า
    “ควรได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น เพราะจาก 4 งานเป็น 9 งาน แลก 3 พันไม่คุ้มว่ะ”

    ถ้าไม่ลงรอยกะนายจ้าง
    นายวินัย ออกแน่ครับ “ทำอย่างงี้ ไปทำที่อื่นได้เงินมากกว่านี้แน่ๆ”
    คราวนี้ล่ะ ซวยของจริง
    เพราะ 9 งานครับ จะไปให้ใครทำ
    คนใหม่ก็ถ่ายโอนงานไม่ทันหรอกครับ

    แสดงว่า บริษัทนี้
    มีบรรยากาศในการทำงานไม่ค่อยดี
    ความสนุกสนานต่ำ
    เค้าเรียกอะไรล่ะ.. แบบเข้าไปแล้วรู้สึกว่ามีชีวิต ชีวา มีพลังงานในการทำงาน อ่ะคับ
    มันต่ำ หรือน้อย
    ทำให้ทุกคนเห็นเรื่องเงินเป็นหลัก

    ถ้านายจ้าง (หรือนายทุน) มองเรื่องเงินเป็นหลัก
    ลูกจ้าง (หรือลูกน้อง) ก็มองเรื่องเงินเป็นหลักอยู่ดี

    จากประสบการณ์ครับ
    อาจจะเป็นประเด็นหลักของธุรกิจ ที่ต้องทำกำไร
    แต่ เงิน ไม่ใช่ประเด็นหลัก ของลูกจ้าง โดยเฉพาะ โปรแกรมเมอร์ครับ

    บรรยากาศใน การทำงาน
    ความเป็นทีม ความเป็นเพื่อนกัน
    อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ในการทำงาน
    แรงบันดาลใจ การสร้างความกระตือรือร้นในทีม ต่างหากคับ
    ถ้าพวกนี้ดีนะครับ
    เค้าจะสนุก และไม่คิดถึงเงินเดือนด้วย (ถ้าปกติเค้าไม่มีปัญหา เรื่องนี้นะ)

  10. the end justifies the means เป็นสำนวนครับ หมายถึง การที่จะไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ เราอาจต้องยอมทำเรื่องที่เลวร้าย (เพราะเทียบกันแล้วจุดหมายสำคัญกว่า)

  11. เป็นไปได้ยากครับ ที่คุณวินัยจะรับงานเพิ่มได้มากขนาดนั้น ในความเป็นจริง งานของวินัยจะถูกกระจาย ไปให้หลายคนๆ (ซวยกันถ้วนหน้า รับงานมากขึ้น)

  12. ผมว่าอยู่ที่มุมมองครับ
    แต่ยังไงซะนายจ้างก็ต้องมองเรื่องเงินเป็นหลัก
    เพราะมันเป็นธุรกิจแสวงหากำไร ไม่ใช่องค์กรการกุศล

    ส่วนลูกจ้างก็มองได้ 2 มุม (เท่าที่คิดได้) คือ
    1. มอง “เงิน” เป็นหลัก
    2. มอง “โอกาส” เป็นหลัก คือ
    โอกาสในการก้าวหน้าทางอาชีพ, โอกาสในการแสดงความสามารถ,
    โอกาสในการจัดการและบริหารงานและเวลา ฯลฯ
    และสุดท้ายโอกาสในการได้เงินเดือนที่มากขึ้นก็จะตามมา

    ทีนี้ นายจ้างก็ต้องจำกัดวงให้ลูกจ้างคิดแต่ในแง่โอกาส
    โดยการสร้างบรรยากาศ ตามที่คุณกล้าเขียนไว้

    ตอนนี้เป็นกลายวินัยที่มองเงินเป็นหลักอยู่ครับ T-T

  13. แล้วโบนัส ละครับ มีหรือเปล่า จะได้กันคนเท่าไหร่ครับ

    ผมว่ายืนต่อไปยาวๆ นายวินัย ขยันจริง คงไปไกล กว่าที่เหลือเยอะครับ

  14. แย่จังใกล้จบแล้วงานก็หายากยังต้องมาเจอแบบนี้รับไม่ได้เลยนะค่ะ

  15. ผมเห็นด้วยกับความเห็นที่ 14
    เพราะตัวอย่างมีอยู่ที่บริษัทผม
    และตัวผมเอง สุดท้าย สิ่งที่ทำให้อยู่ได้กับบริษัทนี้
    คือบรรยากาศในการทำงาน เพื่อนร่วมงาน
    และความเข้าใจในการทำงานของเจ้าของบริษัท

    สุดท้ายเรื่องเงินเดื่อนไม่ใช่ปัญหา
    ถ้ายอดเงินมันพอเีพียงกับที่ใช้จ่ายปัจจุบันอยู่

  16. เรื่องปกติของธุรกิจ

    บริษัทผม ผมบอกเลยว่าจ้างมาเท่าไร ต้องหาให้คืนได้ไม่ต่ำกว่าห้าเท่า

  17. ผมกะลังประสบปัญหา เรื่องเงินเดือนอยู่เลย ครับแต่ ผมนี่ คล้าย ๆ น้อง จริงใจ ชอบงาน (เข้าใจตั้งชื่อนะพี่) เ ป็นพนักงานคนแ รกเ หมือนกัน ตัวเ งินเ ดือนนี่ยผมว่าตัวผมเองก็เยอะ อยู่แหละ คราวนี้ออฟฟิศกำลังปรับเปลี่ยน รวมถึงโครงสร้านเงินเ้ดือนด้วย ว่า ควรจาเท่าไหร่ ดีประมาณนั้น ยังคิดมะออกเหมือนกันพี่ สงสัยต้องเอาวิธีพี่ไปใช้มั่งแล้ว เนี่ยหุ ๆ ๆ

  18. ชีวิตจิงของผม เอาทั้ง 5 คนมารวมไว้ที่ผมคนเดียว แล้วรับเงินเดือนหมื่น 5 ครับ

  19. เห็นด้วยกับมุมมองของหลายท่านครับ การทำงานไม่ว่าอาชีพอะไรก็ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายด้วยกันทั้งนั้น อาจจะแตกต่างกันไป เรื่องมุมมองของนายจ้าง กับ ลูกจ้าง ต่างกันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกบริษัท แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งแต่อย่างใด ผมก็เป็นอีกคนที่ใช้ชีวิต ลูกจ้าง มาระยะนึง และคิดอยากจะเป็นนายจ้างกะเขาเหมือนกัน เหตุผลไม่ใช่เรื่องค่าตอบแทนนะครับ….ประเด็นอื่น ซึ่งหลายท่านที่มีประสบการณ์ ในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงาน สำนักงาน โรงงาน น่าจะพอเข้าใจว่า การทำงานเพื่อให้ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็น เป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่าเอาซะเลย( เรียกว่าขาดทุนก็ว่าได้) ถ้าเทียบกับสิ่งที่เราต้องสูญเสีย เพื่อแลกมา อย่างน้อยสุดก็เวลาชีวิตที่นับวันยิ่งสั้นลง
    ผมบอกเล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังเสมอว่า ชีวิตการทำงานคือ การเรียนหนังสือ และที่ทำงาน คือโรงเรียนแห่งเดียว ที่เราเรียนหนังสือ แล้วได้ทั้งเงิน ทั้งความรู้และประสบการณ์ และสร้างสิ่งที่เรียกว่า คุณค่า ให้กับชีวิตเรา เพราะฉะนั้น จงอย่าท้อกับงาน และจงภูมิใจกับ ความไว้เนื้อเชื่อใจของนายจ้าง ผมเคยมีประสบการณ์กับบริษัทแห่งนึง เป็นของคนไทยเชื้อสายจีน เปิดรับสมัครผู้จัดการโรงงานที่ขยายโรงงานเพิ่มเป็นแห่งที่ 3 ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนึง แต่ให้เงินเดือนน้อยมากเมื่อเทียบกับความรับผิดชอบ แต่ถ้ามองกลับกัน เขากล้าจ้างเด็กเข้ามาบริหารงาน ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 27 ปี มันจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก หลังจากที่ทำอยู่เกือบ 3 ปี บอกได้เลยว่า ได้มากกว่าเราเรียนหนังสือ 10 ปี ผมลืมเรื่องค่าตอบแทนไปเลยครับ

  20. ตอนนี้ผมเป็นนายทุน แต่คงจะไม่เอาเปรียบเสียต้องทำให้รู้สึกลำบากใจ เพราะผมจะดูว่า งานที่เค้าทำคุ้มกับค้าจ้างหรือเปล่าเพราะผมเคยเป็นลูกจ้าง ถ้างานออกมาแย่ ก็คงจะต้องพิจารณา แต่ทำงานดีเยี่ยมยอดก็ต้องลองปรับกลยุทธิ์บางอย่างเพื่อพัฒนาให้ระบบลดงานแทนให้คนทำงาน สร้างให้เค้าเป็นแทนเราได้ยิ่งดี แต่นายทุนคิดว่าเหมือนฉันมันก็ออกไปตั้งบริษัท ตรงนี้แหละ น่าสนใจ เมื่่อเค้าทำได้ จึงต้องให้มาร่วมทุนจะได้ได้ดูว่าเกิดอะไร อยากขนาดไหน ….

  21. ทำไมเงินเดือนบริษัทพี่น้อยจัง นี่หล่ะนามองในมุมของตัวเองอย่างเดียว แบบกบในกะลาเลยครับ อีกอย่างมาหาว่าคนใช้สมองทำงานเป็นชนชั้นแรงงานซะอีก มุมมองแคบมาก

  22. เลี้ยงคนไม่เป็น ทันทีที่ นางสาวจริงใจเจอที่ทำงานใหม่ที่ดีกว่า เรื่องจะมาถึง นางสาวน่ารัก โดยทันที นางสาวน่ารักรู้เรื่องทุกอย่างดีอยู่แล้ว จะตัดสินใจไปกับ นางสาวจริงใจ ได้ง่าย-ง่ายที่สุด เผลอๆลามถึงพนักงานคนอื่นด้วย สุดท้ายขาดคน พนักงานใหม่ ก็ต้องใช้ระยะเวลาปรับตัว เสียงาน เสียการ เสียเงิน ขาดทุน ย่อยยับ วิธีดังกล่าวผมว่าได้ผลแค่ระยะสั้นเท่านั้นเอง พนักงานของผม ได้เงินเดือน คนละ 7000 – 9000 เท่านั้นเอง ทั้งที่นายจ้างคนอื่นให้กัน หมื่นกว่า แต่ไม่เห็นมีใครลาออกสักคน มีแต่บอกจะอยู่กับเฮียไปจนตาย

  23. เรานึกว่า แปดหมื่นหกนี่จะจ่ายให้คนเดียวหรือสองคนซะอีกอ่ะน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *