จริง ๆ แล้วผมไม่ชอบทุนนิยมซักเท่าไหร่ครับ ทุนนิยมกระตุ้นให้เกิดความโลภ อือม แต่ก็ต้องขอชมผู้ที่คิดค้นทุนนิยมขึ้นมาเหมือนกันนะ เพราะถ้าไม่มีระบบทุนนิยมเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ มนุษย์เราก็คงไม่ดิ้นรนขวนขวายสร้างสินค้าและบริการขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้หรอก
กุญแจสำคัญของระบบทุนนิยมก็คือ “เงินตรา” … “เงินตรา” เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในระบบทุนนิยม เพราะถ้าทุนนิยมเติบโตขึ้น โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกันเอง โดยไม่มี “เงินตรา” เป็นสื่อกลาง … มันคงดูไม่จืดเลย
ว่าแล้วผมก็เล่านิทานแต่งเองให้อ่านซักเรื่องดีกว่า …
… เริ่ม
สมัยก่อน ๆ ๆ ๆ นู้นเมื่อมนุษย์รับหรือจ่ายเงินออกไป ก็จะใช้สมองจดจำเอาไว้ว่าทำธุรกรรมทางการเงินอะไรไปบ้าง ซึ่งบางครั้งก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ว่าง ๆ ก็เอาเงินที่เก็บอยู่มานับ ๆ ดูว่าเมื่อวานมีเท่านี้ วันนี้มีเท่านี้ แล้วมันเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่หว่า???
งั้นจดเอาดีกว่าเน้อะ จดไว้หน่อยว่ารับเงินมาเท่าไหร่ แล้วก็จ่ายเงินออกไปเท่าไหร่ ก็จดเอาไว้ในกำแพง, ก้อนหิน, หนังสัตว์, ไม้ไผ่, ผืนผ้า แล้วสุดท้ายก็กระดาษ โอ๊ะ ๆ ๆ ๆ มนุษย์กำลังทำอะไร … อ้อ เราเริ่มจะแยกระบบการเงินกับระบบบัญชีออกจากกันไง เงินก็เก็บอยู่ที่นึง แล้วบัญชีก็เก็บอยู่ที่นึง แต่ก็ยังไม่มั่นใจนะ ยังไม่มั่นใจ ก็ยังเอาเงินที่เก็บอยู่ เอามานับเทียบกับบัญชี ว่ามันตรงกันหรือเปล่า ถ้ามันตรงกันก็สบายใจ กินอิ่ม นอนหลับ แต่ถ้ามันไม่ตรงกันก็ต้องมานั่งขบคิดให้ปวดกระโหลกอีก ว่าตกลงเงินที่เก็บอยู่มันไม่ถูกต้อง หรือบัญชีที่จดเอาไว้มันไม่ถูกต้องกันแน่ ก็งมโข่งกันเข้าไป
คราวนี้เงินมันเริ่มเยอะขึ้น การรับจ่ายก็มีความถี่สูงขึ้น การมานั่งนับว่าเงินกับบัญชีมันตรงกันหรือเปล่าก็กลายเป็นเรื่องลำบาก กลายเป็นว่ามีเงินมากกลายเป็นความทุกข์ไป … แต่โชคดีที่บังเอิญมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ซึ่งสิ่งนั้นก็คือระบบคอมพิวเตอร์!!!
ให้คอมพิวเตอร์ช่วยจำดีกว่า ว่ามีเงินเก็บอยู่เท่าไหร่บ้าง แล้วก็มีการรับจ่ายอะไรบ้าง ดี ๆ … ว่าแล้วก็เก็บเงินเอาไว้ที่เดิม แต่เปลี่ยนจากจดว่ามีเงินเท่าไหร่ รับจ่ายเท่าไหร่ในกระดาษ ก็มาจดในคอมพิวเตอร์แทน ก็บันทึก ๆ มันเข้าไป เวลาจะนับเงินมันก็ง่าย เพราะสืบค้นได้ว่ารับจ่ายมาเท่าไหร่ ตกลงมีเงินอยู่เท่าไหร่กันแน่ เที่ยบกันแล้วใช้เวลาอันรวดเร็ว ก็สบายใจกินอิ่ม นอนหลับ แต่ถ้านับแล้วมันไม่ตรงกันก็เชื่อคอมพิวเตอร์ไว้ก่อน เพราะคอมพิวเตอร์มันไม่ขี้โกง คนเก็บเงินน่าจะขี้โกงมากกว่า!!!
ผ่านไปซักพักนึงมนุษย์ก็เริ่มคิดได้ว่า ทำไมต้องแยกเงินออกจากบัญชีในคอมพิวเตอร์ด้วยฟระ ก็รวมมันไว้ด้วยกันเลยเด่ะ สะดวกกว่าตั้งเยอะ ให้ตัวเลขซึ่งบันทึกอยู่ในคอมพิวเตอร์ มีค่าเป็นเงินในตัวมันเองเลย!!!
ทุกคนเห็นด้วย นักธุรกิจเอย, นายทุนเอย, นักวิทยาศาสตร์เอย, ธนาคารเอย และแม้แต่รัฐบาลเองก็เห็นด้วย ต่างก็ตั้งอกตั้งใจกัน ผลักดันให้ “เงินดิจิตอล” เกิดขึ้นมา สื่อมวลชนเองก็ช่วยตีข่าวโหมกระพือให้ทุกคน “เชื่อถือ” และ “ศรัทธา” ใน “เงินดิจิตอล” เหล่านั้น ว่ามันมีอำนาจและแสนยานุภาพอันมากมายในการชำระค่าสินค้าและบริการ
และแล้วในที่สุด ระบบเงินดิจิตอลก็ถูกใช้ทั่วไปหมด ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงยอดภูเขา การชำระค่าสินค้าและบริการใช้วิธีโอนตัวเลขโช๊ะ ๆ จากที่นึงไปยังอีกที่นึง รวดเร็วปานวอก … สะดวกเสียจริง …
“เงินตรา” ได้กลายเป็นตัวเลขไปแล้ว … จับต้องไม่ได้ … ไม่มีตัวตน
สังคมยังคงเติบโตขึ้น ทุกคนดิ้นรนไขว่คว้า พยายามทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าหรือการให้บริการ เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ตัวเลข” เหล่านั้น … เพื่อให้ตัวเลขถูกโอนเข้ามาไว้กับตัวเองเยอะ ๆ … ตัวเลขซึ่งจับต้องไม่ได้ … ไม่มีตัวตน
เมื่อถึงระดับหนึ่ง ทุกคนจะเริ่มรู้ตัวว่ากำลังแลกเปลี่ยนตัวเลขซึ่งจับต้องไม่ได้กันอยู่ แต่ไม่มีใครยอมรับรู้กับเรื่องเหล่านี้กันแล้ว ทุกคนเชื่อกันหมดศรัทธากันหมด ว่าตราบเท่าที่ระบบการแลก “ตัวเลข” เหล่านั้นยังคงเชื่อถือได้อยู่ และตราบเท่าที่ความเข้มงวดในบทกำหนดโทษขั้นสูงสุด แก่ผู้คิดคดทรยศสร้างกลโกงในการทำซ้ำ “ตัวเลข” เหล่านั้นยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ … ตราบนั้นทุกคนก็ยังคงไขว่คว้าหา “ตัวเลข” เหล่านั้นอยู่ดี
…จบ
กำลังคิดอยู่ว่าตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้มงวดมากในการออกธนบัตร มีความพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ใครหน้าไหนก็ตาม สามารถทำธนบัตรเลียนแบบได้ โดยเฉพาะธนบัตรใบใหญ่ ๆ นี่ยิ่งพยายามให้เลียนแบบยากเข้าไปใหญ่ เพราะรู้กันทั้งบางว่ากฎหมายถึงจะเข้มงวดยังไง ก็ยังมีคนใจกล้า ๆ ปลอมธนบัตรกันอยู่ดี เพราะคนที่ปลอมอยากได้เงิน แล้วก็เห็นว่าไปทำธุรกิจมันเสียเวลา สู้ปลอมเงินดีกว่าเยอะ
นี่ถ้าคิดตามหลัก Problem Management ก็ถือว่าเป็นการแก้จาก Root Cause เลยนะเนี่ย ฮา
แล้วถ้าเป็น “เงินดิจิตอล” เนี่ย จะทำยังไงดีน้อ ถึงจะไม่ให้มีคนเลียนแบบได้ น่าคิดจริง ๆ เพราะแค่ต้นทุนในการพัฒนาระบบเงินดิจิตอล ก็มากมโหฬารมหาศาลแล้ว ถ้ายังต้องมีต้นทุนในการกันการปลอมแปลงเลียนแบบอีก แล้วมันจะคุ้มกับการนำมาใช้มั้ยเนี่ย???
[tags]เงินตรา, เงินดิจิตอล, ดิจิตอล, คอมพิวเตอร์, ซอฟต์แวร์[/tags]
อ่านมาตั้งแต่เรื่องแรกไม่เคยคอมเม้นให้พี่ไท้เลย
แต่อ่านเรื่องนี้แล้วค่อนข้างถูกใจเรื่องนี้เพราะชอบทั้งเรื่องโปรแกรม และเรื่องการ(หา)เงิน เห็นด้วยว่าเดี๋ยวนี้ “ชำระค่าสินค้าและบริการใช้วิธีโอนตัวเลขโช๊ะ ๆ จากที่นึงไปยังอีกที่นึง รวดเร็วปานวอก … สะดวกเสียจริง …” นั่งคลิ๊กโน้นคลิ๊กนี่บนเว็บเงินหายจากกระเป๋าแล้วยังไม่ทันรู้สึกตัว
ปลอมเงินดิจิตอล เป็นแบบไหนอ่ะคับ นึกภาพไม่ออกเลย
ถ้าการจับจ่ายคือเกมโอนตัวเลข ปลอมเงินดิจิตอลมันก็น่าจะเป็นการสร้างข้อมูลปลอมแต่โอนได้จริง(มั้ง)
เงินดิจิตอลอีกแบบที่กำลังเป็นภาระของหลายๆ คนรวมทั้งผม มันคือเงิน หรือ “วงเงิน” ต่างๆ ในบัตรเครดิตและสินเชื่อ ตอนนี้ผมพยายามปล้ำจะลดตัวเลขติดลบพวกนี้อยู่ พวกแบงก์เจ้าหนี้ดันมองว่าเรามีศักยภาพมาก(เกินไป?) เลยส่งข้อมูลให้พวกประกันโทรมาตื๊ออยู่ตลอด เฮ้อ!
เอาเลขหนึ่ง กับศูนย์มาเป็นเงินแทน
Security ต้องดีมากๆ เลยนะครับเนี้ย เพราะถ้าหลุดทีก็เงินเฟ้อล้นโลกไปเลย
ด้วยเพียงคลิ๊กเดียว (สองคลิ๊กก็ได้ เอ้า ;p)
เดี่ยวก็มีการเขียนโปรแกรมHack เงินดิจิตอลครับ อิอิ
i love cash
cash is real
real cash
คุณ Bad ไมตั้งชื่อตัวเองงี้ล่ะเนี่ย T-T เงินมันไหลออกจากตัวง่ายครับ
ไว้เดี๋ยวจะโม้ให้อ่านในหัวข้อถัด ๆ ไปครับคุณ kike
ก็คือ ๆ กันนั่นแลครับคุณ discovery man
อ๋า พี่โรจน์ก็คิดซะว่าตนเองนั้นเป็นผู้มีเครดิตซู้งสูงสิครับ จะได้สบายใจ อิ อิ 😛
เขาถึงต้องมีการสร้างระบบเตรียมไว้อ่ะครับคุณเอ ซึ่งมักไม่ค่อยมีใครมาเล่าให้ฟังกันเท่าไหร่ ว่าระบบที่ว่ามันเป็นไงบ้าง
สงสัยมีแหง ๆ ครับคุณ Xavi
I also love cash ครับคุณ Copywriter ^-^
ผมเคยคิดไว้ประมาณ 7 ปีที่แล้วอ่ะครับ ว่าจะทำ internet currency แต่….ปัญหามีอยู่ว่า เงินเนี่ยเราตั้ง currency ขึ้นมาโดยไม่มีอะไร back นั่นคือ printing money out of thin air ไม่มีใครซื้อแน่นอน ก็เลยล้มเลิกไป 😛
^o^ งั้นก็ IN GOD WE TRUST ไงคุณ Tee พระเจ้าเป็นประกัน
คือว่า Currency ที่ bank ออกเองเค้าจะใช้ gold หรือ silver ประกันไว้อ่ะครับ
ส่วนตามที่ประเทศออก จะใช้ Credit ว่าเงินเค้าเนี่ยประกันด้วยความเชื่อว่าประเทศนั้น ๆ จะแลกสินค้าตามจำนวนเงิน อ่ะครับ (gold standard ไม่มีคนใช้แล้ว)
เคยศึกษาอยู่พักนึง ตอนเจอคนสมัครประธานาธิบดีชื่อ Ron Paul บอกจะให้อเมริกากลับไปใช้ Gold Standard เพราะว่า อเมริกา run deficit budget ติดกันหลายปี (เหตุผลหลักเพราะเอาไปละลายใน iraq) พิมพ์แบ้งค์มาเกินตัวความเชื่อถือในแบ้งค์ลดลง supply เยอะไป (ส่วนนึงของเหตุผล 33 บาท)
http://en.wikipedia.org/wiki/Gold_standard