หลังจากผมได้อ่านไตรภาค “เมื่อผมบุก kapook.com” ของคุณแอนจบลง (ภาคหนึ่ง, ภาคสอง และ ภาคสาม) ผมก็ได้ข้อสรุปในทันทีว่า …
ทีมงานของ kapook ไม่มีปัญหาในเรื่องของระดับปฏิบัติการเลย หากแต่มีปัญหาในเรื่องของการบริหารจัดการมากกว่า
ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือ …
ให้ทาง kapook เจียดงบประมาณส่วนหนึ่ง ส่งคนระดับบริหารจัดการไปเรียน ITIL ซะ(ครับ) … ถึงจะแพงหน่อย แต่ผมก็ว่าคุ้มนะ เพราะเมื่อเรียนกลับมาแล้ว ก็จะได้มาสร้างกระบวนการอันเป็นเลิศให้แก่ทีมงานระดับปฏิบัติการของ kapook ต่อไป
แล้วปัญหาการนำเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้นบน Production โดยคนภายในก็จะยุติลง เพราะ ITIL มีกระบวนการหลายอย่างที่ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่น Change Management ซึ่งช่วยในการนำงานขึ้น Production
โดยขั้นตอนการนำขึ้น Production ใน Change Management ถือว่าเป็นการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ เพราะไม่ใช่ว่าจะนำงานขึ้น Production ได้โดยง่าย เนื่องจากต้องผ่านการเปิด case ก่อน, ผ่านการ AT ก่อน และผ่านการอนุมัติโดย Change Advisory Board ก่อน
แถมยังต้องถูกควบคุมกระบวนการจาก Change Manager อย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังต้องมี Back Out Plan กรณีที่ขึ้นแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้ แล้วต้องการถอยกลับ และ Fall Back Plan กรณีที่ขึ้นแล้ว แถมถูกใช้ไปแล้วจนเกิดผลกระทบ แล้วต้องการถอยกลับ เป็นต้น
ซึ่งหากมีการนำ Change Management ซึ่งเป็นติ่งหนึ่งจาก ITIL มาปรับใช้ ผมก็คิดว่าไอ้เรื่องที่จะมีปัญหาที่แล้ว ๆ มาก็คงจะหมดไป
ป.ล. หากใครไม่ยอมทำตามกระบวนการอันเป็นเลิศ ก็ให้ออกจากงานเลยก็แล้วกันครับ หมดเรื่อง อิ อิ 😛
[tags]kapook,iannnnn,itil,change management, ไตรภาค[/tags]
ITIL นี่มันเป็น document-base หรือเปล่าครับ
คิดๆ อยู่ว่า ทำไปทำมา มันจะเหมือน CMMI มั้ย
นั่งทำเอกสารกันเป็นบ้าเป็นหลัง ทำไปแค่ให้รู้สึกว่า “มีเอกสาร” เท่านั้นแหละ
คุ้นๆ ว่าเรื่อง ITIL มันฮิตเมื่อหลายปีก่อน
มันง่ายมากนะ ถ้าเริมที่จิตสำนึกรับผิดชอบ
หรือว่าไม่หลงเหลือแล้ว ก็ไม่อาจทราบได้
หรือจะใช้ศีล ๕ ข้อ ๒ ไม่ลักขโมยและ ข้อ ๔ ไม่พูดเท็จ
ไม่แพงด้วยนะพี่ หาที่เรียนดี มีข้าวฟรีใ้ห้กินด้วย
“มันง่ายมากนะ ถ้าเริมที่จิตสำนึกรับผิดชอบ” เยี่ยมเลยครับ
อยากจะแย้งแบบนี้แหละครับ มันไม่ได้แก้ที่การ “รู้” อะไรเพิ่มเติมครับ มันแก้ได้เมื่อเค้า “เห็นว่าสำคัญ” ถ้ายังไม่เห็นว่าสำคัญ มันก็ไม่แก้หรอกครับ
ปล. กระผมว่าพี่ไท้เป็นพี่กระผมนะ หึหึหึ
เห็นด้วยคับ
บ้านเราละเลยเรื่องนี้ไปมาก ทำให้มีปัญหาจุกจิกตามมา จนกลายเป็นสูญเสีย image/brand/trust etc. ไปได้เหมือนกัน
คงต้องให้พี่ไท้ไปเป็น COO ล่ะครับ ไม่งั้นอีกนานกว่าเค้าจะรู้สึกตัว
(เค้ามีตำแหน่งนี้ใน kapook หรือป่าวนะ)
AMp : เอกสารเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำครับ เพื่อลดเวลาในการแก้ปัญหา ลดอาการ “เขียนใหม่เหอะ” แต่งานเอกสารต้องใช้เครื่องมือ และการจัดเก็บที่เหมาะสม ไม่ใช่ให้คนมานั่งพิมพ์งานใส่ ms word กันอย่างบ้าระห่ำ นั่นคือไอเดียดี แต่ปฏิบัติแย่คับ
สวัสดีครับคุณพี่ไท้
ผมติดตามอ่าน Blog ของพี่มานานแล้วหลัง ๆ เรียกว่าติดงอมครับ เป็นเว็บแรก ๆ ที่พอเปิดอ่านฟีดต้องเลื่อนมาดูก่อนว่าวันนี้มีของอะไรมาปล่อยให้อ่าน แต่อ่านอย่างเดียวไม่เคยเข้ามาแสดงความคิดเห็นอะไรเลย (ฮา)
วันนี้เห็นหัวข้อแล้วน่าสนใจตามเข้าไปอ่านไตรภาคมาจนจบอ่านแล้วประจวบเหมาะที่ผมกำลังหดหู่เรื่องที่เพิ่งได้เห็นมากับตา (ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ราคา 350 บาท) อยู่เลยครับ
ส่วนตัวผมก็เคยโดนแนว ๆ นี้อยู่บ้างประปรายคือบทความที่ผมเขียนไปโผล่ทั้งในหนังสือและในเว็บแบบไม่ได้ขออนุญาต โดนแบบนี้ก็ท้อไปบ้างครับ
สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เล่นอินเตอร์เน็ทเป็นประจำหรือทำงานที่เกี่ยวข้องจะตระหนักถึงเรื่องพวกนี้มากน้อยแค่ไหน
ผมเข้าใจว่าทุกกระบวนการต้องมีการใช้เอกสารบ้างครับคุณ AMp อย่างที่คุณกล้าบอกนั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่าปัจจุบันกระบวนการที่ต้องใช้เอกสาร มันถูกยกเข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์แล้วล่ะ ดังนั้นเราก็สามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ติดตามกระบวนการแทนได้ แบบว่ารวดเร็วดี ทันสมัย และถูกต้องอีกต่างหาก
โอย คุณ audy ชวนผู้บริหารของ kapook เข้าวัดนี่หว่า ฮา 😛
แหม ผมก็นึกว่าพี่เม่นเป็นพี่ผมซะอีก T-T ใครก็ได้ช่วยแก่กว่าผมที ผมอยากเรียกคนอื่นว่าพี่บ้าง
ไม่เอาอ่ะคุณกล้า ผมชอบเป็นนักลงทุนมากกว่าเป็น COO ผมชอบใช้ทรัพย์สินทำงานให้กับผม มากกว่าที่จะให้ระบบทรัพยากรมนุษย์ทำงานให้ผมอ่ะ
คุณ kangg ต้องทำใจครับ สำหรับเรื่องเหล่านี้ อย่างผมเนี่ย ผมใช้ลิขสิทธิ์แบบอนุญาตให้เผยแพร่ แต่ไม่อนุญาตให้แก้ไข และไม่อนุญาตให้กระทำการในเชิงพาณิชย์ ดังนั้นถ้าเอาไปเผยแพร่แล้วไม่บอกว่าเอามาจากบล็อกแห่งนี้ ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ ถือว่าใจกว้าง ๆ แล้ว