นักพัฒนาซอฟต์แวร์ vs ลูกค้า

ไหนลองมานับซิว่าคนเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่แล้วเขาเรียนกันกี่ปี? ลองนับดูนะ ถ้าเรียนมาทางสายสามัญ เฉพาะจบปริญญาตรีก็แสดงว่าเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์มา 4 ปีถูกแมะ?

ถ้าเรียนมาทางสายอาชีพ เช่น ปวช. หรือ ปวส. ก็จะเรียนคอมพิวเตอร์ตอน ปวช. ปี 3 แล้วก็ต่อคอมพิวเตอร์ตอน ปวส. อีก 2 ปี ก็นับรวมได้ 3 ปี ยิ่งถ้าเรียนต่อปริญญาตรีต่อเนื่อง ก็จะใช้เวลาเพิ่มเข้าไปอีก 2 ปี นับรวมกันได้ 5 ปี

และถ้าเรียนต่อปริญญาโทอีกก็เพิ่มไปอีก 2 ปี

นับรวมกันแล้วถ้าคนที่มุมานะที่จะเรียนคอมพิวเตอร์จนจบระดับบัณฑิตก็ใช้เวลาราว 4 – 5 ปี และถ้าร่วมกับการต่อในระดับมหาบัณฑิต ก็จะได้คิดได้เบ็ดเสร็จราว 6 – 7 ปี

จะเห็นว่าการที่จะเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์แล้วจบออกมาได้ มันช่างเสียเวล่ำเวลาอะไรเช่นนี้ คน ๆ นึงต้องเรียนรู้ผ่านเวลามาเกินครึ่งทศวรรษ ต้องบรรจุความรู้คอมพิวเตอร์ตั้งมากมายเข้าหัว ต้องสอบครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะจบออกมาได้ …. จบออกมาเป็นคนที่พร้อมจะทำงานคอมพิวเตอร์ …

ทีนี้มาเจาะประเด็นปัญหากันดีกว่าครับ ก็อย่างที่โม้เอาไว้ข้างต้นว่าวิชาทางคอมพิวเตอร์ต้องใช้เวลาเรียนกันยาวนาน ดังนั้นลองคิดดูนะครับว่าช่องว่างของเรากับคนที่ไม่ได้เรียนจบคอมพิวเตอร์มันจะกว้างแค่ไหน?

ช่องว่างมันกว้างตามภาพที่ผมวาดไว้นั่นแหล่ะ มันกว้าง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มากจนบางครั้งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่สามารถพูดคุยสื่อสารกับลูกค้าหรือ User ได้รู้เรื่อง ซึ่งนี่เป็นปัญหาคลาสสิคขององค์กรคอมพิวเตอร์เลยล่ะ

ทราบมั้ยครับว่าผมต้องเรียนรู้และปรับตัวตั้งนานเลยล่ะ กว่าจะรู้วิธีที่จะสื่อสารกับลูกค้าหรือ User ได้อย่างรู้เรื่อง

ลูกค้าหรือ User จะไม่ชมเชยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เอาแต่พร่ำโม้ศัพท์ทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจหรอกครับ แต่เขาจะชมเชยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สามารถอธิบายอะไรหลาย ๆ อย่างทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ ให้เป็นภาษาที่เรียบง่าย, ภาษาชาวบ้าน และภาษาที่ใครหน้าไหนฟังแล้วก็เข้าใจได้ ถึงแม้จะไม่ได้จบคอมพิวเตอร์หรือเรียนคอมพิวเตอร์มาก็ตาม

ผมพบปัญหามาตลอดเลยนะเรื่องการสื่อสารระหว่างนักพัฒนาซอฟต์แวร์กับลูกค้าเนี่ย จนในที่สุดเมื่อผมก้าวขึ้นมาในตำแหน่งงานที่ต้องปกครองทั้งนักวิเคราะห์ระบบและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผมก็เลยงัดยุทธวิธีที่คิดค้นออกมาใช้ครับ

ยุทธวิธีดังกล่าวก็คือ การฝึกอบรมทั้งนักวิเคราะห์ระบบและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในทีมให้รู้จักการอุปมาและเปรียบเทียบครับ ผมมักจะทำเป็นตัวอย่างให้ดูทั้งก่อนจะไปคุยกับลูกค้าหรือ User และหลังจากที่ไปคุยกับลูกค้าหรือ User เสมอ

การอุปมาหรือเปรียบเทียบศัพท์ทางเทคนิคให้สอดคล้องกับภาษาชาวบ้าน เป็นสิ่งที่เราต้องเลือกพูดตามสถานการณ์ เช่น ถ้าระบบมันช้าด้วยเหตุผลเพราะ Server เจอปัญหา I/O Bound กับ Client ผมก็จะอธิบายกับลูกค้าหรือ User ให้เข้าใจว่า …

ตอนนี้นะ Server ในศูนย์คอมพิวเตอร์คือเมือง ๆ นึง แล้ว Client หลายร้อยเครื่องที่ฝ่ายการเงินใช้อยู่ คือ หมู่บ้านเล็ก ๆ หลายร้อยหมู่บ้านนอกเมือง แล้วตอนนี้อ่ะนะครับ มันเหมือนกับว่า แบบว่ามีรถที่วิ่งจากทุกหมู่บ้าน มุ่งเข้าไปยังเมืองหลวงอย่างหนาแน่นมากเลยครับ ตอนนี้ในเมืองหลวงก็เลยรถติดมาก ๆ เลยอ่ะครับ ทำให้อะไร ๆ ในเมืองหลวงติดขัดทำอะไรลำบากมาก มันก็เลยช้าไง

ก็แถไปแบบนี้ครับ แล้วเขาก็เข้าใจนะ ดีจริง ๆ

โดยสรุปแล้ว เราควรมีความเมตตาและมีปัญญาเชิงอารมณ์ที่สูงมากพอในการคุยกับลูกค้าครับ อย่าลืมนะครับว่าพวกเราน่ะเรียนคอมพิวเตอร์กันมาถึง 6 – 7 ปีเชียวนะ เห็นใจคนที่เขาไม่ได้เรียนคอมพิวเตอร์มาบ้างเด้อ

[tags]นักพัฒนาซอฟต์แวร์,ลูกค้า,การสื่อสาร,อุปมา,เปรียบเทียบ[/tags]

Related Posts

11 thoughts on “นักพัฒนาซอฟต์แวร์ vs ลูกค้า

  1. บางทีอ.ก็ควรจะพูดอะไรที่เข้าใจง่ายเหมือนพี่ไท้พูดนะครับ การเรียนคอมพิวเตอร์จะได้เข้าใจง่ายหน่อย เพราะมัวแต่จำศัพท์มากไป เดี๋ยวก็งงตัวเอง

  2. ผมว่าอาจารย์ที่สอนนะควรจะสอนทั้งศัพท์เทคนิคต่างๆแล้วก็ ใช้คำพูดง่ายๆเปรียบเทียบให้เข้าใจด้วยก็ดีนะ เวลาจบไปจะได้รู้จักเปรียบเทียบ รูจักพูด ว่าควรจะพูดเปรียบเทียบอย่างไรให้เข้าใจ

  3. เพราะอาจารย์เขาไม่ได้ออกมาเจอของจริงอ่ะครับน้องโอ, คุณ iPorsut ต้องเข้าใจเขาหน่อยครับ

  4. ถูกต้องแล้วครับ เหมือนพี่ไท้บอกครับ อาจารย์ ไม่ได้มาเจอของจริงอย่างเรา ๆ ครับเพราะอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย อันนี้เขาก็ไม่สามารถหากรณีศึกษามาบอกได้อะครับ แต่กดีครับเรามีอาจารย์นอกมหาลัยอย่าง พี่ไท้ เหอๆๆๆ มาชี้แนวทางแล้วนี่ครับ นับเป็นอะไรที่ต้องคิดพอสมควรโน๊ะ แต่ก็น่าเวลาเราไปคุยกับคนที่เขาเรียนอย่างอื่นมา เรายังไม่รู้เรื่องเลย จะว่าอะไรแต่คอมพิวเตอร์

  5. อาจารย์นั้นอาจจะ็เรียนคอมพิวเตอร์มา 6-7 ปี เหมือนกัน บางทีอาจไม่มีประสบการณ์คุยกับลูกค้าโดยตรง พอไปสอนนักศึกษาเลยใช้แต่ศัพท์ทางเทคนิคมากไปเหมือนกันล่ะครับ

  6. อาจารย์ส่วนหนึ่งก็รับจ๊อบนอกนะครับ แต่ที่ต้องใช้ศัพท์สูงๆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อทำให้ตัวเองดูดี ทำให้คนที่ไม่รู้จักศัพท์นั้นอึ้ง จะได้เถียงไม่ออกครับ และจะได้ไม่มีคำถามให้กวนใจ

  7. ผมชอบบทความตัวนี้ครับ มันก็จริงมากทีเดียวนะครับ ไม่ใช่แค่ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ vs ลูกค้า เสมอครับ บางทีผมมีกรณี ลูก vs แม่ ครับ เพราะหลายอยากผมก็สอนแม่ผมครับ เวลาพูดก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้เข้าใจหนะครับ เพราะอะไรๆมันก็เป้นศัพท์เทคนิคไปหมด

  8. เห็นด้วยกับคุณหมีน้อยน่ะครับ รู้สึกว่าอะไรๆมันก็เป้นศัพท์เทคนิคไปหมด มันอยากที่จะบอกให้คนรุ่น พ่อ แม่เข้าใจ

  9. ผมเองก็ไม่รู้เรื่องอื่นนอกจากเรื่องคอมพิวเตอร์เหมือนกันอ่ะครับคุณสิทธิศักดิ์

    อาจารย์บางท่านก็รับงานนอกนะคุณเดย์ แต่เนื่องจากรับงานนอกเป็นงานอดิเรกอ่ะ บางครั้งก็อาจจะไม่เท่ามืออาชีพด้านดังกล่าวก็ได้

    ปรกติเจอคนที่รู้เยอะ ๆ ผมจะฟังอย่างเดียวครับคุณ SmileSquare แต่ไม่ได้จับผิดเขาหรอกนะ แค่รู้สึกดี ๆ ที่มีคนพูดอะไรให้ฟังเท่านั้นเอง

    ลูกกับแม่ไม่เกี่ยวกับ software as a service อ่ะครับคุณหมี งานนี้ผมขอผ่าน 😛

    ศัพท์เทคนิคเหมาะสำหรับคนเทคนิคคุยกันครับคุณหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนอื่น ๆ ก็ได้

    บางเรื่องที่เห็นว่าง่าย บางทีเราก็ต้องคิดกันเป็นนานสองนานเลยนะคุณตาสีตาสา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *