ผมได้ยินประโยค, คำร่ำลือ, การซุบซิบ และเทคโนโลยีซึ่งเกี่ยวกับการ “ทำงานจากที่บ้าน” มานานแล้วครับ และเท่าที่เห็นก็พบว่าทุกวันนี้นั้น เรามีความเป็นไปได้ที่จะทำแบบนั้น
- เรามี High Speed Internet ที่จะใช้เป็นกระดูกสันหลังหลักในการสื่อสาร
- เรามี Instant Message ที่จะใช้คุยกับเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งทุกวันนี้เราก็ใช้คุยกับเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้เพื่อนร่วมงานเราจะอยู่ห่างเพียงแค่โต๊ะอีกฟากนึงก็ตาม
- เรามีระบบ E-Mail ทั้งของบริษัทเอง แล้วก็ของฟรี
- เรามีระบบ Software as a Service หลาย ๆ อย่างมากขึ้น เพื่อให้เราทำงานกับเพื่อนร่วมงานได้ ไม่ว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าว จะติดตั้งโดยบริษัทเอง หรือเป็นซอฟต์แวร์ที่ให้บริการกันอยู่ในอินเตอร์เน็ต
- เราใช้โทรศัพท์มือถือโทรคุยเรื่องงานกัน จนเหมือนกับว่าค่าโทรศัพท์มือถือมันถูกซะเหลือเกิน
บางคนก็อาจจะบ่นว่ามันไม่เหมาะ เพราะผู้ร่วมงานกันก็ควรจะได้เห็นหน้ากัน อีกทั้งอาจจะต้องแลกเปลี่ยนชุดข้อมูลขนาดใหญ่ต่อกัน ซึ่งเหตุผลก็ตกไปเพราะ…
- เราสามารถหาซื้อไมโครโฟน, กล้องแบบ web cam, หูฟังขยายเสียง เพื่อให้เราสื่อสารได้หลาย ๆ มิติ
- เราสามารถประชุมผ่าน Video Conference ได้ โดยใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไป รวมกับอุปกรณ์ที่เขียนไว้ในหัวข้อข้างบน
- เราสามารถต่อเชื่อมเข้าที่ทำงานด้วยระบบ VPN ซึ่งมันทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เสมือนหนึ่งต่อเชื่อมกับที่ทำงานอยู่ แล้วเราก็จะได้แลกเปลี่ยนไฟล์ข้อมูลกันอย่างที่ต้องการได้
- เราสามารถ Remotely Access เข้าสู่ Server ซึ่งอาจจะเป็น Service Server, Development Server หรือ Application Server เพื่อให้เราเข้าไป Check In, Check Out, Compile, Build หรือ ทดสอบ ซอฟต์แวร์ในที่ทำงานได้ เพราะเดี๋ยวนี้ระบบปฏิบัติการไหน ๆ ก็ให้ทำได้
ดูเหมือนตอนนี้เรามีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีบริษัทสัญชาติไทยไหนในเมืองไทย ยอมให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ซะที
โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าในทางเทคนิคนั้น เราพร้อมที่จะทำแบบนี้แล้วล่ะ คือให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ แต่เพราะวัฒนธรรมองค์กรมันยังไม่เปลี่ยน การทำงานมันยังยึดติดอยู่บนพื้นฐานที่ว่า
ทุกคนต้องมาอยู่ในที่ทำงาน กิจกรรมที่เรียกว่าการทำงานจึงจะเกิดขึ้นได้
แต่ถ้ามองในอีกแง่นึง การที่มนุษย์มาทำงานอยู่ด้วยกัน ได้คุยกันเห็นหน้ากัน เห็นกิริยาท่าทางกันและกัน ป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ใกล้ ๆ กัน มันก็เป็นความสัมพันธ์เชิงมานุษยวิทยาที่ดีเหมือนกันนะ มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ผ่อนคลายอย่างประหลาด
โดยสรุปแล้วผมคิดว่า มนุษย์เรายังไม่พร้อมที่จะทำงานจากที่บ้านในแบบ 6 วัน x 8 ช.ม. อ่ะครับ ทำไมผมรู้?? เพราะผมเคยลองแล้วครับ พบว่า …
การทำงานอยู่ที่บ้านเพียงลำพังเป็นปี ๆ นั้น มัน “เหงา” จริง ๆ … ถึงทำแล้วได้ตังค์มากมายก็เถอะ
ป.ล. geek เมืองไทยล้วน “เหงา” ครับ ยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ ยิ่งเหงามากเท่านั้น
ป.ล. 2 ถ้าไม่อยากเหงา เลิกเป็น geek ดีมั้ยล่ะเนี่ย ฮา
[tags]ทำงาน,SaaS,Software as a Service,คอมพิวเตอร์,ซอฟต์แวร์,เหงา[/tags]
> แต่ก็ยังไม่มีบริษัทสัญชาติไทยไหนในเมืองไทย ยอมให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ซะที
เมื่อ 2 ปีก่อน, ผมเคยหยุดทำงานที่บ้าน 9 เดือนครับ
จริงค่ะ ถ้าคนส่วนใหญ่ยังคุ้นกับการได้ออกไปทานข้าวกลางวันเป็นกลุ่มใหญ่ พร้อมๆ นินทาเจ้านายไปด้วย ตกเย็นก็อาจจะมีไป hang out กันบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้วต้องเปลี่ยนเป็นทำงานอยู่กับบ้านทุกวัน ไม่ค่อยได้เจอะเจอเพื่อนร่วมงานแล้วล่ะก็ ออกอาการแน่นอน
อาการที่ว่าคือ อยากออกจากบ้านใจจะขาด อยากหาเพื่อนนินทาจนน้ำลายแตกฟอง ฯลฯ
มีเพื่อนคนนึงออกจากบริษัทไทย ไปอยู่บริษัทฝรั่งที่ไม่มี office ในไทย แต่มี office ที่สิงคโปร์ และก็บริษัทแม่เลย เวลาทำงานทำที่บ้าน เวลาคุยกะเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ใช้ skype เดือนละหนก็บินไปสิงคโปร์เพื่อประชุม …
ตอนนี้มีอการเข้าขั้น โรคพิษขาดที่ทำงานเรื้อรัง วันไหนได้ออกจากบ้านมาเจอเพื่อนๆ จะดีใจจนน้ำลายยืด กินข้าวทีสามจาน เพราะกินคนเดียวที่บ้านมันไม่อร่อย
สำหรับบริษัทไทยที่ยังไม่ให้มี work@home น่าจะเป็นเพราะสาเหตุ discipline เป็นหลักรึเปล่าคะ ผู้บริหารคงยังไม่เชื่อใจว่า productivity จะลดลงรึเปล่า ถ้าให้ทำงานที่บ้าน พูดง่ายๆ 8 ชั่วโมงที่จ้างทำงานต่อวัน จะทำซักเท่าไร ถ้าให้อยู่บ้าน (แม้ว่ามาอยู่ office มันก็ทำไม่ถึง 8 ชั่วโมงอยู่ดีแหล่ะ แต่อย่างน้อยมันก็อู้ยากกว่าอยู่บ้านนิ๊ดนึง ฮ่าๆๆ)
คนเรามันยังต้องการการปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้าเห็นตัวอยู่มั้งครับ
จริงๆ อยู่ แม้ว่าเราจะทำงานที่บ้านได้แล้ว (จริงๆ ผมก็อยากทำอย่างนั้น) แต่ผมว่า ทำอย่างนั้นเป็นบางวันดีกว่ามั้ง ไม่งั้น คงเหี่ยวแห้งน่าดู วันๆ ไม่ได้ออกจากบ้านไปเจอใครสักเท่าไหร่เลย
work@homeมัน workจริงๆบริษัทและพนักงานสามารถรถค่าใช้จ่ายได้เยอะทีเดียว
(ค่าไฟ.ค่าเดินทาง) คงดีไม่น้อย แต่ต้องเหงาแน่ๆเลย
อืม ผมลองตอนทำ Topic แฮะ(หรือ Project จบนั่นแหละ) โดยเทอมสองทั้งเทอมผมแทบไม่ไปเจอเพื่อนเลย สั่งการอยู่บ้านเอา(ส่วนเพื่อนผมอยู่หอ เป็นคนติดต่อกับอาจารย์) เวลาส่งเอกสารก็ใช้ Google doc เพื่อนพิมพ์ ผมพิมพ์ แล้วก็ช่วยกันแก้ ใช้เว็บ vyew(เขียนถูกป่าวหว่า จำไม่ได้) แชร์หน้าจอเอา ใช้ svn ออนไลน์แชร์ซอร์สเอา ใช้ msn สนทนากัน
ผมว่ามันก็สนุกดีไปอีกแบบนะ
พอทำเสร็จก็นัดไปเลี้ยงไปกิน อยากให้เป็นชีวิตงานประจำเสียจริงๆ
โหยหาชีวิตการทำงานจากที่บ้านครับ จะได้อยู่กะแม่มากขึ้น 😉
ผมมองงานที่ผมทำอยู่ ถ้าทำจากที่บ้านคงลำบากตาย เพราะต้องคุยกันและประชุมอยู่บ่อยมากๆ สะดวกกว่าเห็นๆ ถ้าได้เห็นหน้ากัน เดินไปกระโดดถีบสั่งงาน
ผมอยู่บ้านแล้วมัน distraction เยอะมาก ไหนจะง่วง ไหนจะดูหนัง ไหนจะขี้เกียจ -_-“
ทำงานที่บ้าน ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมไทยเรา
สาเหตุน่ะเหรอ…ผมเดาเอา
ก็พี่ pok อยู่เฝ้าภรรยานี่นา ก็ต้อง 9 เดือนเป๊ะ ๆ ดิ อิ อิ
มนุษย์เราถ้าไม่ออกไปทำงานจะมีปัญหาครับคุณ aoyoyo ผมเห็นมาเยอะแล้ว ออกอาการกันทั้งนั้น
ช่าย ๆ คุณ pat เห็นด้วย ๆ
ถ้าคุณ memtest ตกงานซักปีนึง รับรองได้รู้ว่าเหงาเป็นยังไงแน่ ๆ ครับ เหอ ๆ
คงลำบากอ่ะครับคุณ nat3 อย่างที่คุณ aoyoyo บอก
แหมะ รักครอบครัวนะเนี่ย คุณ Crucifier อ่ะ
555 คุณ xinexo อยู่ในฐานะที่จะกระโดดถีบสั่งงานใคร ๆ ได้แล้วเหรอเนี่ย แหมะ อิจฉาจริง ๆ ผมยังทำได้แค่สั่งงานเฉย ๆ เอง
ถ้าอยู่บ้านทำงาน คงต้องใจนิ่งและมีวินัยมาก ๆ เลยครับคุณ wat .. ซึ่งผมนั้น … ทำบ่ได้เหมือนกัน
เดาด้วยคนครับคุณ catkun อิ อิ
ผมเขียนโค้ดจากที่อเมริกาเขียนโปรแกรม แล้วเข้า (open)vpn ส่งไป update ที่เมืองไทยอ่ะครับ และผมก็ setup Jabber Server ไว้ที่บ้าน ติดต่อกับพนักงานได้สบายมากครับ
ใช่ครับ เห็นด้วยว่าอยู่บ้านคนเดียวมันคง “เหงา”น่าดู ขนาดทุกวันนี้คนเราไปทำงานข้างนอกกันทุกวัน พอกลับมาบ้านก็ยังพากันเหงาอยู่ดี 55+ แต่ผมว่าถ้ามีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า หรือเปิดร้านทำอะไรซักอย่าง พวกขายของเล็กๆน้อยๆอะไรแบบนี้ การทำงานอย่างอื่นทางเน็ทไปด้วยมันก็ไม่เลวนะครับ
แวะมาเยี่ยมพี่ไท้ครับ ^ ^ ขอให้สุขภาพดีอายุมั่นขวัญยืน อยู่คู่วงการบลอกไปนานๆนะครับ 55+
ผมเองก็คิดอย่างนั้น
ที่ไหนรับโปรแกรมเมอร์ แล้วทำงานแบบนี้ได้บอกผมบ้างนะครับ จะรีบลาออกไปสมัครเลย