อ่านใน Technology Review 10 อันดับ แล้วก็พบว่า Offline Web Application คือหนึ่งใน 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในอนาคต

ผมว่าคนที่จัดอันดับคงเกรงใจคนวงการคอมพิวเตอร์มั๊ง เลยจัดอันดับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นี้เข้าไปด้วย ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าวิศวกรรมพันธุศาสตร์, นาโนเทคโนโลยี, ประสาทวิทยา และฟิสิกส์อนุภาคน่าจะสำคัญมากกว่า!!!

เมื่อก่อนผมก็เคยคิดเหมือนกันนะ ว่าน่าจะเป็นการดีหากผมสามารถใช้งาน Web Application ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ Web Browser เป็นตัวบริหารจัดการ!!!

ผมกำลังหมายถึงอะไร? หมายถึง Instant Messaging เหรอ? หรือว่าหมายถึงเกมส์ออนไลน์? … พวกนั้นก็ทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตหรืออินทราเน็ตเหมือนกัน แต่พวกนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น Web Application ถูกมั้ย? พวกนั้นกระเดียดไปทาง Desktop Application มากกว่า!

คนที่เจอนิยามของ Offline Web Application เ้ข้าไปคงจะสับสนน่าดู ว่าตกลงมันมีนิยามขอบเขตยังไงกันแน่ … ผมเองก็เช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจนิยามของมัน ผมก็เลยต้องลองเอาของจริงที่เป็น Offline Web Application มาติดตั้งดู โดยหนูลองยาที่ผมเอามาลองก็คือ eBay Desktop

หลังจากที่ผมได้ลองใช้งานและตรวจสอบโปรแกรม eBay Desktop แบบหยาบ ๆ แล้ว ก็ทำให้ผมสามารถจับไต๋ Offline Web Application (แบบหยาบ ๆ) ได้ดังนี้

1.  ถ้าเรายอมรับว่า Web Browser เป็น Desktop Application ประเภทหนึ่ง งั้นเราก็ต้องยอมรับว่า Offline Web Application ก็เป็น Desktop Application ประเภทหนึ่งเหมือนกัน

2.  เราคงคุ้นเคยกับการที่ Web Application ทำงานอยู่บน Web Browser แต่ต่อไปเราอาจจะได้คุ้นเคยกับการที่ Web Application (แบบ Offline) จะไม่ทำงานอยู่บน Web Browser แต่จะยืดอกขึ้นมาทำงานในระดับเดียวกับ Web Browser เลย

3.  กลไกของ Offline Web Application ในการติดต่อกับ Web Server ยังคงเหมือนกับการที่ Web Browser ติดต่อกับ Web Server … เพราะมันยังคงสื่อสารด้วย Port 80 อยู่เหมือนเดิม หรือถ้ามีการตั้ง Firewall เอาไว้ มันก็จะสื่อสารกับ Web Server ด้วย Port 8080 แทน

4.  เราคงจะเคยคิดว่ามีเพียง Feed Reader เท่านั้นที่จะตอบโต้กับ Web Server ด้วย XML (จริง ๆ มีซอฟต์แวร์ระดับ Enterprise อื่น ๆ ที่คุยกันด้วย XML เหมือนกัน แต่ในที่นี้ไม่ขอกล่าวถึง เพราะไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับ Web Application)… แต่ต่อไปจะไม่ใช่แล้ว … เพราะ Offline Web Application ก็จะตอบโต้กับ Web Server โดยใช้ XML เต็มรูปแบบเหมือนกัน

5.  จุดประสงค์แรกที่คิด Offline Web Application ขึ้นมาก็เพราะความกลัว เรากลัวว่าถ้าอินเตอร์เน็ตหลุด แล้วเราจะเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเราไม่ได้ อีกทั้งยังกังวลว่าข้อมูลจะสูญหายหรือถูกทำลาย ซึ่ง Offline Web Application ก็ตอบโจทย์ได้ดี เพราะมันเป็น Desktop Application ตัวนึงนี่นา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากมันจะสามารถเขียนข้อมูลสำรองเอาไว้ในเครื่องของเราได้

6.  แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้ให้บริการ Web ก็ยังคงปราถนาให้ผู้ใช้อย่างพวกเรา Online เข้าระบบของเขาตลอดเวลาที่ใช้งาน โดยผ่าน Offline Web Application อยู่ดี เพราะข้อมูลสำคัญและจำเป็นที่เราต้องใช้งาน มันก็ยังคงกองอยู่ในอินเตอร์เน็ต รอให้เราใช้ Offline Web Application ไปดูดมาอยู่ดี

7.  โดยสรุปแล้ว หาก Offline Web Application เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ โอกาสที่ Web Browser จะหมดความสำคัญลงไปก็จะยิ่งมีมากขึ้นทุกที ดังนั้น Offline Web Application จึงไม่ใช่คู่แข่งขันในอุตสาหกรรม Web Browser หากแต่เป็น “สินค้าทดแทน” ที่จะมาทดแทน Web Browser นั่นเอง

    ถึงจะสรุปมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็ยังอุ่นใจว่า Offline Web Application ยังไง๊ยังไงก็ยังคงดำเนินตามหลักการในการส่งซอฟต์แวร์ให้กับผู้บริโภค ตามหลักการของ Software as a Service อยู่ดี ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าผมยังคงสามารถโม้เกี่ยวกับ “Software as a Service” ไปได้อีกนาน อิ อิ 😛

    [tags]offline,web,applicatiion,software as a service,web server, อินเตอร์เน็ต[/tags]

    Related Posts

    11 thoughts on “จับไต๋ Offline Web Application

    1. ตกลงว่ามันออนไลน์หรือออฟไลน์กันแน่ครับ ในเมื่อยังมีการติดต่อกับ server อยู่อย่างนั้น ผมอ่านแล้วงง …

    2. ผมกลับมองไม่เหมือนอ่ะครับ

      Offline Web App คือ Web App ครับ ไม่ใช่ Desktop App
      แต่คือ Web App ที่ทำงานได้ แม้จะไม่ต้อง online ต่อเน็ต

      ตัวอย่าง
      ใครใช้ hotmail อยู่ แล้วอยู่ๆ เน็ตหลุด
      หรือต้องการเปิดอ่านเมล์ ใน hotmail ในตอนที่ notebook ไม่ได้ต่อเน็ต
      จะทำยังงัย?

      นั่นแหละครับ Offline Web App ในความเข้าใจของผม ที่เคยใช้มานะ
      คือ เรายังเปิด browser เข้า hotmail ได้เหมือนเดิม
      เห็นเมล์เก่าๆ ทั้งหมดของเราเหมือนเดิม
      อ่านได้เหมือนเดิม
      และก็ยัง “ส่งเมล์” ได้เหมือนเดิมอีกด้วย
      ทีไม่เหมือนเดิมคือ “ทำได้โดยไม่ต้องต่อเน็ต” คับ

      แน่นอน เมล์มัน “ไม่ส่งออกไปจริงๆ หรอก” คราวนี้คือ
      มันจะรอว่า ต่อเน็ตได้เมื่อไหร่ จะส่งให้ตามหลังละกันนะ ประมาณนั้นแหละ

      สิ่งที่จะเปลี่ยนโลก ก็คือ “หมดยุค” ของ Desktop App ที่ต้อง setup, install, uninstall, patch, upgrade, virus, save file, export file, etc.. โอ้ย สารพัดครับ

      ในมุมของนักพัฒนาคือ ทำทีเดียว ใช้ได้ทั้ง online/offline คับ ไม่ต้องเขียนใหม่ ใช้ภาษาในการพัฒนาแบบเดียว นึกถึง internet เป็น platform ที่มี browser เป็นหน้าต่างของมันคับ

      Technology ที่มีใช้กันแล้ว เช่น Google Gear, Adobe Air คับ
      อันนี้แค่มุมมองผมนะ คิดอย่างไรก็ช่วยกัน share คับ

    3. โอ้ว ขอบคุณคุณกล้า เห็นภาพชัดขึ้นเยอะ แต่ถ้าจะทำงั้นได้ต้องอาศัยกำลังภายของ developer เยอะเหมือนกันนะ คง debug กันหูตาเหลือก 😀

    4. ขออนุญาต Peetai ตอบตรงนี้คับ

      crucifier : พวก Gear, Air เค้า technology ที่มาช่วยจัดการปัญหา internet connection ได้ง่ายๆ เช่นกันครับ เช่นมันมี function ให้เราเช็คง่ายๆ ว่าตอนนี้ต่อเน็ตอยู่หรือไม่ รวมทั้งมีระบบ database ฉบับกะทัดรัด เอาไว้เก็บข้อมูลบางตัวเอาไว้ในเครื่องได้อ่ะคับ แล้วก็มีระบบ sync ข้อมูลเล็กๆ เพื่อช่วยให้ developer ทำงานง่ายขึ้นเหมือนกันคับ

      ที่แย่ก็คือ เราต้อมานั่งศึกษาเจ้าพวกนี้ ซึ่งใช้เวลาพอสมควร ทำให้เด็กๆ คิดทำเล่นๆ มันก็จะลงทุนมากไปนิด ก็เลยจะเหลือแค่พวกที่ทำเป็นมืออาชีพจริงๆ เท่านั้น (ในตอนนี้นะ) เพราะมันยังไม่เป็นมาตรฐาน (แบบ HTML, XHTML, SQL, CSS ซึ่งเราเริ่มจะขาดมันไม่ได้ซะแล้ว)

    5. จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ ผมขอแค่ให้มันฟรี ก็พอใจแล้วครับ
      ตอนนี้วุ่นวายเรื่อง ฟรีๆปลอมๆ กันน่าดู

    6. eBay Desktop ที่ผมเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างไงคุณ Mr. Jack นั่นแหล่ะของจริงเลยล่ะ

      คุณกล้ามาช่วยอธิบายแล้วครับคุณ crucifier กระจ่างแจ้งจางปางเลยล่ะ

      มันอาจจะทำให้เราตกใจมากกว่าสนใจอีกนะคุณ Shoot ถ้าทุก ๆ บริษัทไอทีพุ่งการพัฒนาไปที่มันอ่ะ

      ขอบคุณคุณกล้าที่เข้ามาช่วยขยายความและแสดงความคิดเห็นครับ เพราะผมเองก็เรียบเรียงความเข้าใจให้ออกมาแบบคุณกล้าไม่ได้เหมือนกัน แหะ ๆ 😛

      คุณ dcopywriter เหมือนผมเลย ชอบของฟรี อิ อิ ^-^

    7. ขอบคุณคุณกล้ามากครับ หลังจากไปศึกษาแนวคิดในการพัฒนาของ Adobe AIR มาบ้าง ก็มองเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง ที่แนวคิดของพวก Offline Web Application เกิดขึ้นมาเพื่อทดแทนบางสิ่ง แต่ต้องแลกด้วยการต้องติดตั้ง Application ที่เครื่อง ซึ่งตรงนี้ผมรู้สึกมาตลอดว่าเป็นข้อดีของเว็บ ที่จะใช้งานจากที่ไหนก็ได้ เช่น ร้านอินเตอร์เน็ท ซึ่งเจ้าของร้านคงไม่ยอมให้เราไปติดตั้งอะไรเพิ่มเติมเป็นแน่

      แต่ถ้าจะพัฒนา Application ดังกล่าวเป็น 2 เวอร์ชัน ทั้งแบบ Web Application ปกติ กับตัวที่สนับสนุนการทำงานแบบ Offline แบบนี้ก็คงเหนื่อยมาก

      สรุปก็คือผมพอจะเข้าใจแนวคิดของมัน แต่ผมยังมองภาพหรือแนวทางในอนาคตของเทคโนโลยีพวกนี้ไม่ออกอยู่ดี T_T

    8. หลักจริง ๆ มันมีอยู่ แค่ (webapp เป็นplatformแรก ที่ทำได้)
      1) easy+good looking gui
      2) auto garbage collector
      3) cross platform
      4) Optional Dynamic typing

      java เคยพยายามแต่เสียอย่างเดียวที่ gui อุทบาว์(เป็นปัญหาจากข้อสามด้วย เพราะแต่ละ system เก่งไม่เท่ากัน) และเป็น static type

      objective C กับ .net C# ขาดแต่ cross platform

      แต่ผมว่าไม่ใช่ทางออกอ่ะครับ เพราะเรากำลัง ทำเกินสิ่งที่ javascript/html มัน design มาให้ทำ (html ทำครั้งแรกให้นักฟิสิกส์ ลิ้งค์บทความกันเท่านั้น เรา stretch มันออกมาได้ผลมาเป็น workaround แบบ css)

      ต้องรอคนเขียน offline web app เยอะขึ้นแล้วไป lobby ใน w3c อ่ะครับ คนไทยส่วนมาก(รวมถึงผม) เป็นแค่ pawn อ่ะครับแต่บริษัทต่างประเทศใหญ่เป็น player เค้าว่าไงเราก็ต้องว่าตามนั้น

    ใส่ความเห็น

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *